“ถ้ำเมฆาอัคคี” เมื่อพูดขึ้นมาแล้ว ก็เหมือนถูกอัคคีแผดเผาหากเป็นคนที่มีอุปนิสัยอารมณ์ที่ไม่ดี ทำงานใจร้อน
จิตใจไม่สงบ เป็นนักธรรมอาวุโส เตี่ยนฉวนซือ ถันจู่ แต่ทดสอบให้คนอื่นต้องตกหล่นไป ตำหนิด่าว่าคนอื่นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ มีอารมณ์ฉุนเฉียว ก็จะต้องถูกกักขังอยู่ที่ถ้ำเมฆาอัคคีนี้
เมื่อ “อวิชชา” ผุดขึ้นมา ก็จะเหมือนกับโดนอัคคีแผดเผาเหมือนหนึ่งอยู่ในเตาหลอมฉันใดก็ฉันนั้น ความรุ่มร้อนเจ็บปวด
นั้นทำให้เจ้าต้องครวญครางสำนึกผิด อย่างไรก็ตามการถูกลงโทษทัณฑ์ที่ว่านี้ พระแม่องค์ธรรมได้แสดงบุญญาธิการ ร่างญาณ
ทั้งหลายจะถูกกำหนดคงที่ เวลาถูกลงทัณฑ์ จึงดูเหมือนไม่มีอะไรดูจากภายนอก จะเห็นทุกคนนั่งอย่างเรียบร้อย แต่ภายใน
อุณหภูมิจะสูงหรือต่ำอย่างไร ก็อยู่ที่อารมณ์ของแต่ละคนแล้วอย่างนี้ฟังเข้าใจกันหรือไม่? ก็เหมือนกับเจ้าทั้งหลายกำลังนั่ง
ฟังธรรมะอยู่ บางคนฟังเข้าใจแปดส่วน บางคนฟังได้ สิบส่วนบ้างก็ฟังได้หกส่วน บ้างก็ฟังได้เจ็ดส่วน แต่บางคนฟังได้แค่
เพียงสองส่วน ก็ว่ากันไปไม่แน่นอน ทั้งนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับรากบุญพื้นฐานของแต่ละคน และยังเกี่ยวข้องกับบุญกุศลของแต่ละคน
เองด้วย
ผู้ที่มีภูมิธรรมปัญญาสูง เมื่อได้นั่งอยู่ที่นี่ ก็ย่อมฟังเข้าใจได้อย่างอัตโนมัติ แต่ผู้ที่เจ้ากรรมนายเวรเร่งรัดทวงหนี้อย่างประชิด
ติดตัว หรือผู้ที่ยังไม่สามารถละวางเหตุปัจจัยสัมพันธ์ต่างๆ ลงได้ปัญญาก็จะถูกแรงกรรมที่ไร้รูปลักษณ์เหล่านี้ปิดบังครอบงำ เอา
ไว้ ไม่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะพูดให้โอวาทอย่างไร แต่ก็ไม่อาจฟังให้เข้าใจได้!
ถ้ำเมฆาสีม่วง
“ถ้ำเมฆาสีม่วง” ฟังดูเหมือนมีสภาวะที่สูงส่ง นั่นก็คือพระพุทธะที่เคยตั้งมหาปณิธานลงมา แต่เกิดลุ่มหลงไปนั่นเองถึงจะสามารถบำเพ็ญกลับคืนไปได้ แต่เนื่องจากได้ตั้งมหาปณิธานเอาไว้ แต่ว่ามีบุญกุศลอยู่น้อยนิด ซึ่งไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่าปณิธานยิ่งใหญ่แต่มรรคผลน้อยนิด จึงยากที่จะคืนสู่ตำแหน่งสถานะเดิมได้
เจ้าทั้งหลายจะเป็นเช่นนั้นไหม ที่ตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ แต่มรรคผลน้อยนิด บำเพ็ญจนสามารถกลับคืนได้ แต่บุญกุศลไม่เพียงพอ จึงถูกกักขังในคุกสวรรค์ ต้องเคี่ยวกรำบำเพ็ญต่อไปต้องสำนึกขอขมาอีก การลงทัณฑ์ในถ้ำนี้จะเบากว่าถ้ำทั่วๆ ไปเพียงแต่จะรู้สึกอึดอัดใจ นั่งอยู่ในถ้ำจะรู้สึกละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณของเบื้องบน คิดอยากจะร่ำไห้ความหวั่นไหวทางอารมณ์จะประณามตัวเองให้สำนึกเสียใจ ที่ไม่สามารถเจริญปณิธานได้ดังที่ตั้งใจไว้
หากเคยเป็นพระอรหันต์อุบัติลงมา แต่กลับบำเพ็ญปฏิบัติเพียงในหน้าที่ของญาติธรรมทั่วไปเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แย่
แน่นอน เพียงแค่ตั้งปณิธานกินเจเท่านั้น ไม่มีผลงานทางธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกลับคืนไป จึงต้องถูกจองจำและลงโทษ เนื่องจากเคยตั้งมหาปณิธานต่อหน้าพระพักตร์พระแม่องค์ธรรม เคยลั่นสัจวาจาที่ยิ่งใหญ่แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม หัวเป็นเสือแต่หางเป็นงู(แรงตอนต้นแต่แผ่วตอนปลาย) อย่างนี้ไม่ได้ จะหลอกลวงเบื้องบนไม่ได้เด็ดขาด
ถ้ำเมฆาโบยบิน
“ถ้ำเมฆาโบยบิน” ที่ว่านี้เป็นอย่างไร? ถ้ำนี้ร้ายกาจกว่าทั่วไป ร้ายกาจอย่างไร? ร้ายกาจตรงที่มีมีดบินตรงมาทิ่มแทงที่กลางทรวงอกสร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง และสาเหตุใดจึงต้องถูกลงทัณฑ์เช่นนี้? นั่นก็เพราะคนประเภทนี้อาศัยกลอุบายให้ร้ายคนอื่น ต่อให้ไม่ถึงกับเข่นฆ่าชีวิตคนอื่น แต่ก็ทำลายชื่อเสียงทำลายศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของคนอื่น คนประเภทนี้ไร้มโนธรรมสำนึก ชอบวางกับดักทำร้ายคนอื่น เจ้าทั้งหลายอาจจะสงสัยว่าทำไมจึงมีผู้บำเพ็ญอย่างนี้อยู่ในอาณาจักรธรรมอีกใช่ไหม? มีแน่นอน คนรับธรรมะมีมากมาย แต่ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ยังต้องรอดูก่อน ฉะนั้น อย่าได้มีจิตคิดร้ายต่อคนอื่นต้องคิดดี ทำดีพูดในแง่ที่ดี คนอื่นเขาทำอะไร เจ้าอย่าเพิ่งไประแวงสงสัยเขาคนอื่นทำผิด เจ้าต้องรู้จักตักเตือนเขา อย่าได้คิดฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อเจ้าทั้งหลายมีความก้าวหน้าหรือไม่ เจ้าทั้งหลายรู้จักให้ทานหรือ
เปล่า? เจ้าทั้งหลายก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม? จะต้องรู้ด้วยตัวเองจึงจะดี! คนอื่นรู้ก็ไม่มีประโยชน์ ตัวเองรู้ก็เป็นของตัวเอง
ถูกหรือไม่ถูก? คนอื่นก็ต้องบอกว่าเจ้าก้าวหน้าอยู่แล้ว มีแต่จะก้าวหน้าจริง ๆ หรือไม่ก็ยังไม่แน่ ตัวเองก้าวหน้าหรือไม่ก็ต้อง
ถามเอาจากตัวเอง มีอย่างที่ไหนที่ถามเอากับผู้อื่น ตัวเองก้าวหน้าหรือไม่ จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน?
ถ้ำเมฆาโบยบินนี้ เป็นถ้ำที่เจ้าทั้งหลายได้นั่งอยู่ข้างในเพื่อย้อนมองส่องตน เพื่อฝึกฝนเคี่ยวกรำตน หากในใจยังมีความโลภ
ความโกรธ และความหลง พิษทั้งสามนี้ยังหลงเหลืออยู่ พอมาถึงที่นี่ เมื่อใดที่กิเลสความคิดเช่นนี้ผุดขึ้น เมื่อนั้นมีดก็จะโบยบิน
แล้วจะพุ่งเข้ามาปักกลางทรวงอก เจ็บปวดอย่างยิ่ง ถึงจะเป็นร่างญาณแต่มีดก็ไร้รูปลักษณ์ ปักลงไปเจ็บปวดเหมือนถูกมีดทิ่มแทง
จะรู้สึกเจ็บเหมือนจริง จะรู้สึกชาเหมือนจริง แล้วมีดที่ปักอยู่กลางอกจะหายไปเมื่อไหร่ล่ะ? ก็รอจนเจ้าจิตสงบ อารมณ์เยือกเย็น
กิเลสความคิดฟุ้งซ่านหายไป มีดนั้นก็จะหายไปด้วย เมื่ออารมณ์ความคิดผุดขึ้นมาอีก มีดก็จะโบยบินมาอีก ความคิดยิ่งฟุ้งซ่าน
จำนวนมีดที่โบยบินมาก็จะยิ่งมาก หากอารมณ์ความคิดฟุ้งซ่านมีน้อย มีดที่โบยบินมาก็น้อยลง เหตุผลง่ายๆ อย่างนี้เข้าใจไหม?
ส่วนที่เหลือ ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาเดิมของแต่ละคนนั่นก็คือ เมตตาธรรม มโนธรรม จริยธรรม ปัญญาธรรม และสัตยธรรม
คนที่ขาดเมตตาธรรมนั้น ใช่ว่าจะบกพร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่เป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่โต เช่นว่า วันนี้ฉุดช่วยคนมา ๕๐
คน ช่างประไร ไม่ต้องไปส่งเสริมเขาหรอก และหากเจ้าฉุดช่วยคน๑๐๐ คน แต่มีเพียง ๑ หรือ ๒ คนเท่านั้นที่ตั้งปณิธานกินเจ เจ้าก็
มุ่งหวังโลภอยากได้หน้า โลภแต่บุญกุศลและยังยึดติดในบุญกุศล
ไม่ตั้งใจไปส่งเสริมคนให้ดี ไม่มีเมตตาจิต คนอื่นเขาตกทุกข์ได้ยากแต่เจ้าไม่ได้ไปช่วยเขา เห็นเขาหกล้มแต่ไม่ยอมไปพยุง
เขาขึ้นมา อย่างนี้เรียกว่าขาดเมตตาธรรม เจ้าทั้งหลายเป็นอย่างนี้ไหม? อย่าเอาแต่บำเพ็ญจนอะไรก็ไม่ประสีประสา ไม่รู้จักคิด
ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การบ่มเพาะเมตตาจิตเข้าใจหรือเปล่า?
อย่างที่สอง มโนธรรม เป็นหลักคุณธรรมระหว่างพี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ต้องร่วมกันรักษาไว้ให้ดี คือ ต้องมีมโนสำนึก
รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าได้ชิงดีชิงเด่น อย่าได้ยื้อแย่งบุญกุศลกัน หากเป็นเจี่ยงซือด้วยกัน ก็อย่าได้นินทาซึ่งกันและกัน
คนอื่นดีเจ้าก็พลอยได้ดีไปด้วย หากเจ้าเก่งแต่กล่าวหาคนอื่นไม่ดูแลพี่ๆ น้องๆ
ไม่รู้จักเป็นห่วงเป็นใยคนอื่น ในทางตรงกันข้าม กลับคิดร้ายทำลายล้างคนอื่น และไม่ยอมร่วมงานกับคนอื่น ไม่ยอม
อยู่ร่วมกับคนอื่นในสถานธรรม อย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างนี้ย่อมไร้มโนธรรมสำนึก
ที่จริงแล้ว การบำเพ็ญธรรมต้องเสมอต้นเสมอปลาย ต้องรู้จักสนองรับเบื้องสูง และนำพาเบื้องล่างใช่หรือไม่? ต้องเคารพ
เทิดทูนอาจารย์ทั้งสาม (พระบรรพจารย์ พระอาจารย์ชายและพระอาจารย์หญิง) ต้องสำนึกขอบคุณอาจารย์แนะนำ และ
อาจารย์รับรอง ทั้งหมดนี้ล้วนครอบคลุมอยู่ในมโนธรรมสำนึกทั้งสิ้น
จริยธรรม ก็คือ จริยะพุทธระเบียบ มาถึงสถานธรรมเห็นเฉียนเหยินหรือเตี่ยนฉวนซือ ก็ต้องรู้จักกราบรับพระโองการสวรรค์ กราบคารวะ กราบอำลา ถึงจะไม่ได้กราบลาอย่างเป็นทางการแต่ในใจก็ยังต้องมีความเคารพ นอกจากนี้ในสถานธรรม ยังมีรายละเอียดของพุทธระเบียบอีกมากมายที่ต้องฝึกฝน เช่น เวลากราบไหว้พระก็ต้องช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่ากราบแบบลวกหยาบขอไปทีเหมือนกับการเคาะไม้หัวปลา (บักฮื้อ) เคาะ! เคาะ!เคาะ! ที่ประเดี๋ยวเดียวก็เคาะเสร็จอย่างนี้ไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เจ้าทั้งหลายต้องนำไปพินิจพิจารณา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ต้องเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน
ต่อไปจะกล่าวถึง ปัญญาธรรม ผู้บำเพ็ญธรรมต้องรู้จักใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทาง ไม่ใช่เดี๋ยวติดตามคนโน้นบำเพ็ญ เดี๋ยวติดตามคนนี้บำเพ็ญ เดี๋ยวเห็นชอบกับคนโน้น เดียวมีอคติกับคนนี้ประเดี๋ยวพอติดตามคนผิด ก็เปลี่ยนไปติดตามคนใหม่อีก อย่าง นี้ไม่นานสถานธรรมทั่วประเทศเจ้าคงไปทั่วหมดแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ในการบำเพ็ญปฏิบัติอยู่นั่นเอง
ดังนั้น จะทำอย่างนี้ไม่ได้เด็ดขาดเข้าใจไหม? อย่าได้คลางแคลงใจว่าพระพุทธะที่คนอื่นบูชาใหญ่กว่า ส่วนพระพุทธะ
ที่เราบูชานั้นเล็กกว่า ไม่มีเรื่องอย่างนี้หรอก ที่จริงแล้วพระพุทธะอยู่ที่ใด? ก็อยู่ในพุทธจิตธรรมญาณนั่นแหละใช่หรือไม่?
ทุกคนล้วนมีพุทธจิตญาณตน ฉะนั้นเจ้าทั้งหลายพึงเข้าใจว่าการบำเพ็ญธรรม ต้องรู้จักอาศัยปัญญาญาณ จงอย่าบำเพ็ญ
โดยอิงคนอื่น คนอื่นเขาบอกว่า “เธอติดตามบำเพ็ญกับฉันต้องบรรลุธรรมได้แน่นอน” บรรลุจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า? จะ
บำเพ็ญให้สำเร็จก็ต้องอาศัยตัวเองเท่านั้น อย่าไปสนใจกับคำพูดของคนอื่นที่ว่าเปลี่ยนธรรมกาลแล้ว ต้องรับธรรมะใหม่ต้องเบิกจุดใหม่ เบิกที่ใต้สะดืออย่างนี้ก็จะบรรลุธรรมได้หรือ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน
ไม่ว่าเจ้าจะเคยให้ทานบริจาคทรัพย์มามากเท่าไหร่? ไม่ว่าเจ้าจะได้บำเพ็ญมานานแค่ไหน? หากไม่รู้จักรักษากฎสวรรค์ ขาด
ซึ่งปัญญา ไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ และยิ่งไม่สามารถบรรลุสู่ฝั่งพระนิพพานได้เช่นกัน เข้าใจไหม?
สุดท้ายคือ สัตยธรรม คือการที่ต้องรักษาสัจจะ ใช่หรือไม่?หมายความว่าเมื่อพูดคำใดออกจากปาก ต้องทำตามคำพูดนั้น
อย่างนี้ใช่หรือไม่? และอย่างเช่นตั้งปณิธานอย่างพร่ำเพรื่อตั้งไป๑๘ ข้อ แต่ทำแค่ ๕-๖ ข้อเท่านั้น หรือว่าเขาไม่ได้บำเพ็ญเลย?
ที่จริงก็มีบำเพ็ญแต่ทำไม่ได้เท่านั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเร่งรัดไปกระทำ ไม่ใช่ว่าเวไนยสัตว์ฉุดช่วยไม่สิ้นก็ไม่สามารถบรรลุสู่
ความเป็นพุทธะ พระแม่องค์ธรรมไม่ไร้เมตตาถึงขนาดนั้นหรอกเพียงแต่เป็นการเตือนสติตัวเองว่าปณิธานที่ตั้งแล้ว ได้มุ่งมั่น
ไปเจริญกันหรือเปล่า? ได้ตั้งใจบำเพ็ญหรือไม่? ได้ทุ่มเทพยายามกันหรือเปล่า? ได้เสียสละอย่างแท้จริงหรือไม่? จุดสำคัญ
อยู่ตรงนี้ต่างหาก ใช่ว่าการบำเพ็ญธรรมจะลำบากอย่างที่คิดและใช่ว่าบำเพ็ญอย่างลำบากแล้ว กลับไปยังต้องถูกกักขังที่คุก
สวรรค์อีกก็หาไม่ หากแต่กรณีที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หมายถึงความผิดบาปที่หนักหนาสาหัส และอารมณ์อุปนิสัยที่เร่าร้อนอย่างยิ่ง
แต่หากเจ้าทั้งหลายตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติ หมั่นพิจารณาย้อนมองส่องตน มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุปนิสัยอารมณ์ ไม่ดีของ
ตน มีความเคารพนบนอบเฉียนเหยิน เตี่ยนฉวนซือ และผู้ร่วมบำเพ็ญอย่างจริงใจ เช่นนี้ก็เป็นบุญกุศลแล้ว
เมื่อครู่นี้ได้พูดถึงธรรมกาลยุคเขียว และธรรมกาลยุคแดงในธรรมกาลสมัยที่ผ่านมานั้น ก็มีผู้บำเพ็ญธรรมที่ถูกจองจำ
ในคุกสวรรค์มาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเหตุใด? ทั้งนี้ตั้งแต่ธรรมกาลยุคเขียวมา ก็มีผู้บำเพ็ญที่ฝักใฝ่อิทธิฤทธิ์อภิญญา คิดว่าตน
มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆนานา จึงมีการกดขี่รังแกคนอื่น มิเช่นนั้นก็นิยมชมชอบการประลองอิทธิฤทธิ์ชอบทำลายล้างคนอื่น อย่างนี้
ก็เป็น การสร้างบาปกรรมเหมือนกัน ตัวเองต่างก็คิดว่าตัวเองมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม ต่อสู้กันไปต่อสู้กันมา ในที่สุด
ก็ต้องมีฝ่ายแพ้ ฝ่ายแพ้ก็ต้องหาวิธีใหม่ๆ เพื่อหวังจะแก้แค้น ทำให้ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง สุดท้ายความโลภ ความโกรธ และ
ความหลง ก็จะปรากฏออกมา ดังนั้นที่คนเราลุ่มหลงกันไปนั้น ก็เป็นเพราะตอนมีชีวิตอยู่นั้น ทำสิ่งแปลกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บาง
ฝ่ายที่ต้องการปกป้องหน้าตาของตนเอง คนประเภทนี้แย่ที่สุด
จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่อดีตกาลมาก็มีคนบำเพ็ญจำนวนมากที่ต้องลงเอยที่คุกสวรรค์เพื่อบำเพ็ญเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ อีกทั้งยัง
เป็นที่ที่ช่วยให้บังเกิดการสำนึกขอขมา
ในธรรมกาลยุคแดงก็เช่นกัน ผู้บำเพ็ญธรรมหลายคนที่เน้นในการบำเพ็ญอิทธิฤทธิ์อภิญญา จนกระทั่งธาตุไฟแตกซ่าน
ทำให้ต้องเข้าสู่เดรัจฉานวิชา หากเป็นอย่างนี้การมีอภิญญาดีหรือไม่? น่าเลื่อมใสหรือเปล่า? ให้มีอภิญญาที่สามารถรู้บาป
กรรม ของคนอื่นโดยการรำลึกถึงสามชาติได้เอาหรือไม่? ให้สามารถรู้ใจคนอื่น สามารถเหาะเหินเดินอากาศดีไหม? หลายคน
แสวงหาสิ่งเหล่านี้ในการบำเพ็ญปฏิบัติ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปอิทธิฤทธิ์อภิญญาที่ได้มาจริงยั่งยืนหรือเปล่า? ไม่จีรังแน่นอน
สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องจบสิ้นไป สำคัญอยู่ที่ภูมิธรรมและจริยวัตรในการบำเพ็ญปฏิบัติ เพราะการมีอภิญญาไม่ได้หมายความว่า
เจ้าสามารถกลับคืนสู่อนุตตรภูมิแดนนิพพานได้ก็หาไม่ ต่อให้มีอภิญญา เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะสูญสิ้นไปเองโดยปริยาย
กล่าวคือต่อให้เจ้าบำเพ็ญจนได้อภิญญา แต่หากจิตญาณแปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์ อภิญญาก็ย่อมถูกกิเลสบดบัง จึงเห็นได้ว่าผู้บำเพ็ญในอดีตที่ละเมิดพุทธระเบียบ ผิดต่อวินัยแห่งฟ้าล้วนต้องถูกลงโทษ
ในเมื่อทุกคนล้วนมีปัญญาญาณก็ต้องรู้จักนำออกมาใช้ ยังมีบางอย่างที่ฉันไม่ได้กล่าวถึง นั่นเพราะฉันไม่อยากจะพูด พระแม่องค์ธรรมมีบัญชากำชับว่าให้ฉันพูดอย่างพอเหมาะพอควรก็ได้แล้ว ฉันจึงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ แค่พูดให้ทุกคนเข้าใจก็พอแล้ว ผู้ที่ถูกกักขังในคุกสวรรค์เป็นนักธรรมอาวุโสในอาณาจักรธรรมเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากนักธรรมอาวุโสมักกระทำผิดได้ง่ายคำพูดเพียงคำเดียวก็เกิดข้อผิดพลาดใหญ่ได้แล้ว เอาล่ะ พูดสิ่งอื่นๆ ให้เจ้าทั้งหลายได้หูตาสว่างบ้างดีกว่า