ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 3 วันที่ 25 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ
คนบนโลก แห่งความเสื่อม ทุกคนต่าง หลุดพ้นได้
พุทธนาม สวดง่ายๆ ไม่สับสน โปรดทุกคน เสมอกัน
เป็นวิถี ที่สะดวก ปกโปรดคน ทุกชนชั้น
เที่ยวจาริก เขียนประพันธ์ หนังสือดี มาผูกบุญ
พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! แต่ก่อนอาตมาสอนให้คนบำเพ็ญพุทธจิตโดยตรง สำเร็จเป็นพุทธะโดยตรง คิดไม่ถึงว่าในโลกแห่งความเสื่อมนี้ ปัจจุบันคนที่มีรากแห่งปัญญานั้นช่างน้อยเหลือเกิน มิสู้การสวดพุทธนามที่สามารถโปรดทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนแก่ เด็ก ผู้ชาย ผู้หญิง คนจน คนรวย คนสูงศักดิ์ คนต่ำต้อย ไม่ว่าฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว คนที่งานยุ่ง คนที่ว่างงาน คนที่มีความทุกข์ คนที่มีความสุข ในหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง สามารถสวดพุทธนามได้ตลอดเวลา ดังนั้นการสวดพุทธนามจึงเป็นธรรมวิถีที่สะดวกและเปิดกว้างอย่างแท้จริง
ไฉ้เซิง : ที่พระอาจารย์พูดมานั้นถูกต้องที่สุด การสวดพุทธนามนั้นไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนแก่ !
พุทธจี้กง : อะไรคือไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนแก่ !
ไฉ้เซิง : ไม่ใช่สิ ! ต้องเป็น “ทุกคนยินดีปรีดิ์เปรมกันถ้วนหน้า” ต่างหากถึงจะถูก
พุทธจี้กง : ความหมายก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นัก พูดผิดไปคำหนึ่งก็สามารถทำให้ความหมายเพี้ยนไปหมดได้ การสวดพุทธนามก็เช่นกัน คำว่า “唸 เนี่ยน” กับคำว่า “念 เนี่ยน” ที่แปลว่า “สวดท่อง” 2 คำนี้เขียนต่างกันไม่มาก อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่ตัวอักษรทั้ง 2 ตัวนี้มีความหมายซ่อนแฝงที่ไม่เหมือนกัน
ไฉ้เซิง : ไม่เหมือนกันยังไงครับ ?
พุทธจี้กง : คำว่า “唸 เนี่ยน” ที่แปลว่า “สวดท่อง” เป็นเพราะข้างหน้ามีคำว่า “口 โข่ว” ที่แปลว่า “ปาก” ถ้าหากอ่านแยกคำกันจะได้คำว่า “口念 โข่วเนี่ยน” ที่แปลว่า “ปากสวด” ปากสวดหรือการสวดด้วยปากนี้ ยังสามารถแบ่งวิธีการสวดออกเป็น 4 วิธี คือ
1. สวดแบบวัชระ - การสวดแบบวัชระก็คือใช้ปากสวดแต่ไม่ออกเสียง
2. สวดแบบนับจำนวน - มือนับลูกประคำ อาจจะสวดแบบออกเสียงหรือไม่ออกเสียง
3. สวดแบบออกเสียงเบาๆ - สวดเสียงเบาๆแค่พอให้ตัวเองสามารถได้ยินเอง
4. สวดแบบออกเสียงดังๆ - คือการสวดเสียงดังแบบทำวัตรเช้าเย็น หรืออาจจะช่วยสวดให้คนที่กำลังใกล้จะตาย โดยการสวดจะสวดเสียงดังเพื่อให้คนอื่นได้ยิน
ส่วนคำว่า “念 เนี่ยน” ที่แปลว่า “สวดท่อง” เป็นเพราะไม่มีคำว่า “口 โข่ว” ที่แปลว่า “ปาก” อยู่ข้างหน้า ดังนั้นจึงเรียกว่า “ใจสวด” การใช้ใจสวดก็มี 4 วิธี คือ
1. สวดเงียบๆในใจ - สวดแบบปากไม่ขยับ สวดในใจเงียบๆ
2. สวดภาวนาขณะที่นอนหลับ - ระลึกไว้ในใจตลอดเวลาขณะที่กำลังนอนหลับ
3. สวดภาวนาขณะที่นั่งกรรมฐาน - ภาวนาไว้ในใจขณะที่นั่งสมาธิ
4. สวดไล่ท้าย - สวดในใจแบบรวดเร็วติดต่อกันโดยไม่เว้นช่องว่าง สวดจบ 1 คำ ก็ตามด้วย 1 คำทันทีต่อไปเรื่อยๆไม่เว้นช่วง
ดังนั้น ไม่ว่าจะสวดแบบออกเสียง หรือสวดแบบไม่ออกเสียง ที่สำคัญที่สุดคือ ในใจจะต้องสวดพุทธนามเงียบๆตามไปด้วยเสมอ
ไฉ้เซิง : คิดไม่ถึงว่าการสวดพุทธนามจะสามารถแบ่งเป็นหลายวิธีเช่นนี้
พุทธจี้กง : ดังนั้นธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนามจึงง่ายที่สุด ทำได้ทุกที่ทุกเวลา สวดได้ทุกที่ทุกเวลา บำเพ็ญได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะอะไรทำไมถึงได้สะดวกอย่างนี้ นั่นก็เพราะว่าคนที่สวดพุทธนามไม่ต้องอยู่ภายในอาณาจักรธรรม ก็สามารถเอากายของตัวเองเป็นอาณาจักรธรรมได้ จิตที่สวดพุทธนามก็คือตัวจริงของตัวเอง ตัวจริงของตัวเองทุกๆวันก็บำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรมของตัวเอง สะดวกมากๆเลยจริงไหม ?
ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้อง
พุทธจี้กง : เอาล่ะ ! ได้เวลาแล้ว พวกเราออกเดินทางกันเถอะ
ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้
พุทธจี้กง : เบื้องหน้านั่น พระโพธิสัตว์มารับแล้ว ศิษย์เรารีบกราบคารวะเร็ว
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์
โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ
ไฉ้เซิง : ขอบคุณพระโพธิสัตว์เมตตา
(พระพุทธจี้กงกับไฉ้เซิงและพระโพธิสัตว์ เดินทางไปแดนสุขาวดีพร้อมกัน)
โพธิสัตว์ : เบื้องหน้าก็ถึงแดนสุขาวดีแล้ว วันนี้เราได้หาผู้ที่บำเพ็ญสำเร็จอรหัตผลท่านหนึ่งมาพูดคุยสนทนากับเจ้า เจ้าสามารถถามเขาได้ว่าทำไมเขาถึงได้บำเพ็ญธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนาม
ไฉ้เซิง : ครับ
(ตอนนี้พระโพธิสัตว์ได้เรียกอรหันต์ท่านหนึ่งเข้ามา)
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยคารวะท่านอรหันต์
อรหันต์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี
ไฉ้เซิง : เมื่อครู่นี้พระโพธิสัตว์ได้แนะนำให้ผู้น้อยทราบว่าท่านบำเพ็ญธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนาม ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดท่านจึงเลือกบำเพ็ญในธรรมวิถีนี้ ?
อรหันต์ : เมธีถามได้ดี พุทธธรรมมี 84,000 พระธรรมขันธ์ ธรรมวิถีถึงแม้มีมากมาย แต่ล้วนอาศัยพลังของตัวเองในการบำเพ็ญปฏิบัติ สมมติว่า ถ้าจะบำเพ็ญในนิกายวัชรยานก็จะต้องมีเครื่องบูชาหลายอย่างในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งต้องใช้เงิน ถ้าหากบำเพ็ญในนิกายฌานก็จำเป็นที่จะต้องกระจ่างจิตแจ้งธรรมญาณ ต้องการที่จะกระจ่างจิตแจ้งในธรรมญาณก็จะต้องมีทั้งพื้นฐานและปัญญา ถ้าหากบำเพ็ญในนิกายโยคาจารก็จะต้องจดจำรูปและนามมากมาย จะศึกษารูปและนามเหล่านี้ก็จะต้องอ่านหนังสือให้เยอะๆ แต่ว่าคนที่บำเพ็ญในธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนามนั้นต่างกัน เพราะว่าเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลายในทะเลทุกข์ พระอมิตาภพุทธเจ้าได้ประกาศมหาปณิธาน 48 ข้อ ใน 48 ข้อมีมหาปณิธานอยู่ข้อหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าหากข้าพเจ้าตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขอเพียงเวไนยสัตว์ทั้งหลายเชื่อมั่นในตัวข้าพเจ้า ศรัทธายินดีด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจ ปรารถนามาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า แล้วอุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่ได้บำเพ็ญปฏิบัติมาเพื่อขอมาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า หรือแม้กระทั่งคนที่มีกุศลเพียงน้อยนิดในยามที่วาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงขอเพียงสวดท่องนามของข้าพเจ้า 10 ครั้ง ถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้มาเกิดยังพุทธเกษตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่ขอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ” พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตามหากรุณา มีมหาปณิธานเช่นนี้ ดังนั้นจึงสามารถสร้างแดนสุขาวดีขึ้นมาได้สำเร็จ และที่ยิ่งไปกว่านั้น พระอมิตาภพุทธเจ้ายังได้นิรมาณกายมากมายนับร้อยพันโกฏิไปฉุดช่วยคนที่มีจิตหนึ่งใจเดียวปรารถนาจะมาเกิดแดนสุขาวดีทุกคนให้หลุดพ้น แต่ว่าการบำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีอื่นๆนั้นไม่ใช่แบบนี้ เพราะการบำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีอื่นๆจะต้องอาศัยฝีมือความสามารถของตัวเองในการบำเพ็ญปฏิบัติ ถ้าหากตัวเองมีกัมมาวรณ์หนัก มีปัญญาไม่มากพอ กลับจะทำให้เสียเวลาบำเพ็ญไปอย่างสูญเปล่า เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึงก็ยังบำเพ็ญไม่สำเร็จ ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลยจริงไหม ? ดังนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ในมหาไวปุลยมหาสันนิปาตสูตรว่า เมื่อถึงยุคสัทธรรมวิปลาส (ซึ่งก็คือสมัยธรรมกาลยุคท้ายนี้) ถ้าหากมีคนที่บำเพ็ญปฏิบัติหนึ่งหมื่นล้านคน ก็หาได้ยากนักที่จะมีสักหนึ่งคนที่สามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ มีเพียงการสวดพุทธนามของพระอมิตาภพุทธเจ้า จิตหนึ่งใจเดียวมุ่งมั่นปรารถนามาเกิดแดนสุขาวดี จึงสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เจ้าต้องรู้ว่าการที่คนๆหนึ่งสามารถได้ร่างกายเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย ถ้าหากไม่รีบฉกฉวยโอกาสตอนที่ยังมีชีวิตอยู่บำเพ็ญสัมมาธรรมให้สำเร็จ ปล่อยโอกาสที่ได้กายมนุษย์มานี้ให้สูญเสียไป ต่อไปภายหน้าหากได้ไปเกิดในเดรัจฉานภูมิหรือเปรตภูมิ ถึงเวลานั้นได้สูญเสียกายมนุษย์นี้ไปแล้วแม้เพียงครั้งเดียวก็ยากนักที่จะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก ก็เหมือนกับคนที่ทำผิดฝ่าฝืนกฎหมาย เมื่อถึงคราวที่ถูกจับ ก็ได้แต่โกรธแค้นและเสียใจในภายหลังเท่านั้น ดังนั้นเราขอแนะนำชาวโลกว่าควรจะรีบสวดพุทธนาม รีบแสวงหาทางรอด มาเกิดแดนสุขาวดี อย่าได้ลังเลสงสัยอีกต่อไปเลย
ไฉ้เซิง : ขอบคุณท่านอรหันต์ที่ชี้แนะ ขอถามท่านอีกเรื่อง ไม่ทราบว่าตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบำเพ็ญอย่างไร จึงสามารถสำเร็จมรรคผลเป็นอรหันต์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเช่นทุกวันนี้
อรหันต์ : โอ้ ! เมธีถามได้ดีมาก ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกโลกีย์ เราเป็นเพียงฆราวาสคนหนึ่งที่ไม่ได้ออกบวช เดิมทีนั้นเราก็บำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีอื่น เราอ่านหนังสือมามาก อ่านพระสูตรคัมภีร์มาเยอะ เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้มีปัญญามาก ก็เกิดความภาคภูมิใจ แต่ทว่าต่อมา เมื่อเราได้ไปพบกับพระเถระผู้บำเพ็ญดีท่านหนึ่ง จึงรู้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีวิชาความรู้และเข้าถึงปัญญาในระดับสูง แต่ที่คาดคิดไม่ถึงเลยนั่นคือ ท่านบำเพ็ญโดยที่ไม่ต้องอาศัยพลังความสามารถของตัวเอง ท่านมีเพียงจิตหนึ่งใจเดียวสวดท่องพุทธนามของพระอมิตาภพุทธเจ้า เราจึงได้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วปัญญาความรู้ของตัวเองนั้นมันช่างน้อยนิดซะเหลือเกิน จากนั้นเป็นต้นมาเราก็บังเกิดจิตสวดท่องพุทธนาม เอาบุญกุศลที่สร้างมาทั้งหมดอุทิศเพื่อขอมาเกิดแดนสุขาวดี คนที่อยู่รอบตัวเรา มีบางคนที่บำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีอื่น พวกเขาต่างหัวเราะเยาะดูถูกเราว่า “พวกฝีมือกระจอก แค่สวดพุทธนามง่ายๆ ใครๆก็สวดได้” แต่ว่าคนที่หัวเราะเยาะเราเหล่านั้น เป็นเพราะว่าพวกเขาบำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีอื่น บุญกุศลของพวกเขาไม่พอจึงบำเพ็ญไม่สำเร็จ สุดท้ายส่วนใหญ่ก็ถลำลงสู่หกภูมิวิถีแห่งการเวียนว่าย น่าเสียดายจริงๆ
ไฉ้เซิง : ทำไมถึงช่างแตกต่างกันมากมายขนาดนี้หนอ ?
อรหันต์ : ก็เหมือนอย่างที่สมัยก่อนได้มีพระธรรมาจารย์ที่บรรลุธรรมแล้วท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า สมมติว่ามีต้นไผ่อยู่ลำหนึ่ง แล้วภายในต้นไผ่ลำนี้ก็มีหนอนอยู่ตัวหนึ่งที่อยากจะออกมาจากลำไผ่ ซึ่งวิธีการนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ก็เหมือนการที่หนอนในลำไผ่กัดแทะปล้องไผ่ทีละปล้องๆตามแนวดิ่ง จากรากค่อยๆเจาะทะลุขึ้นไปจนถึงยอดแล้วจึงออกมาจากลำไผ่ ซึ่งต้องใช้ฝีมือความสามารถเป็นอย่างมาก และต้องใช้เวลานาน ส่วนวิธีการสวดพุทธนามเพื่อมาเกิดยังแดนสุขาวดีนั้น ก็เหมือนกับหนอนในลำไผ่ที่กัดแทะปล้องไผ่โดยเจาะทะลุออกมาจากทางแนวขวาง ซึ่งไวกว่า ง่ายกว่า ใช่หรือไม่ ? จากสิ่งที่ยกมาเปรียบเทียบนี้ก็สามารถรู้ได้ว่า ธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนามกับธรรมวิถีอื่นๆนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก
ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง
พุทธจี้กง : เอาล่ะ ! ดึกแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้เถอะ
ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบลาพระโพธิสัตว์และท่านอรหันต์
โพธิสัตว์และอรหันต์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี
อรหันต์ : วันหน้าถ้ามีโอกาสคงได้พบกันอีก
พุทธจี้กง : ศิษย์เรา นั่งบัลลังก์บัวให้ดี เตรียมออกเดินทาง
ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้
พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว วิญญาณกลับเข้าร่าง