ครั้งที่ 6 พระโพธิสัตว์อธิบายเรื่องการกินเจสวดพุทธนาม

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 3 วันที่ 12 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง  ประทับทิพยญาณ

ได้ยินแต่ เขาเล่าว่า เขาเล่ามา พาฉงน

ได้ยินคน เขาเล่ามา เราก็ว่า ไปตามเขา

ไม่ไตร่ตรอง หาเหตุผล ถูกหรือผิด ก็เหมือนเรา-

เป็นคนบอด คลำช้างเข้า แต่คิดว่า ไม่ใช่หมู ก็คงกวาง

 

พุทธจี้กง : คนที่เคยกินลูกบ๊วยจึงสามารถเข้าใจรสเปรี้ยวของลูกบ๊วย  ถ้าหากไม่เคยกินลูกบ๊วย  เพียงแค่ฟังคนอื่นเขาพูดก็เหมือนกับคนตาบอดคลำช้างที่รู้เพียงคร่าวๆเท่านั้น  การสวดพุทธนามก็เช่นกัน  ตัวเองจะต้องไปสัมผัสรับรู้ด้วยตัวเอง  จึงสามารถเข้าใจถึงข้อดีของการสวดพุทธนาม  ถ้าหากเพียงแค่ฟังคนอื่นเขาพูดก็มักจะทำให้เกิดความสงสัย

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์ครับ !  ถ้าหากว่าสวดพุทธนามบ่อยๆเป็นปกติ  แต่ยังคงเกิดความคิดฟุ้งซ่านเพ้อฝันขึ้นมากมาย  อย่างนี้ควรทำอย่างไรครับ ?

พุทธจี้กง : ถ้าหากคนที่สวดพุทธนามยังคงเกิดความคิดฟุ้งซ่านเพ้อฝันขึ้นมากมาย  อย่างนี้แสดงว่าตัวเองมีกัมมาวรณ์หนัก  จะต้องสร้างบุญสร้างกุศลให้มากๆ  บางทีอาจจะต้องสำนึกขอขมากรรมด้วย  แต่ว่าการสำนึกขอขมากรรมไม่ใช่เพียงแค่รายงานความผิดบาปของตนต่อเบื้องหน้าเซียนพุทธะเท่านั้น  การสำนึกขอขมากรรมจะต้องสำนึกออกมาจากจิตใจของตัวเองอย่างแท้จริง  มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่จะไม่ทำความผิดซ้ำอีกตลอดไป  จึงจะเป็นการสำนึกขอขมากรรมที่แท้จริง  ก็เหมือนกับตัวเองได้หยิบดาบแห่งปัญญามาตัดกิเลสและอวิชชาทิ้งไป  นี่จึงเป็นการสำนึกขอขมากรรมอย่างแท้จริง  และเหมือนกับว่านับจากนี้เป็นต้นไปได้จุดตะเกียงแห่งปัญญาขึ้นในใจของตัวเองส่องสว่างทำลายความมืดมิดในมุมบอดให้สิ้นไป  นี่ก็คือการสำนึกขอขมากรรมที่แท้จริง  เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า “หนึ่งดวงประทีปสามารถส่องสว่างขจัดความมืดมนอนธการที่มีมายาวนานนับพันปีได้” ดังนั้นคนเราอย่าได้กลัวว่าตัวเองมีกัมมาวรณ์หนัก  กลัวเพียงแต่ว่าตัวเองจะไม่สามารถยกระดับปัญญาของตัวเองให้สูงขึ้นได้  ไม่ต้องกลัวว่าบำเพ็ญธรรมนั้นยากจะบำเพ็ญได้สำเร็จ  กลัวเพียงแต่ว่าจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงของตัวเองนั้นยังมีไม่มากพอ  และไม่ต้องกลัวว่าสวดพุทธนามแล้วจะได้ไปเกิดแดนสุขาวดีหรือไม่  กลัวเพียงแต่ว่าจิตศรัทธาเชื่อมั่นของตัวเองนั้นยังมีไม่เพียงพอ

ไฉ้เซิง : ขอเรียนถามพระอาจารย์  ทำอย่างไรจึงจะสามารถมีจิตหนึ่งใจเดียวในการสวดพุทธนามครับ ?

พุทธจี้กง : ต้องการสวดพุทธนามให้บรรลุถึงระดับที่มีจิตหนึ่งใจเดียวในการสวด จะต้องเอาคำว่า “นาโม อาหมีถัวฝอ” ตราไว้ในดวงจิต  น้ำเสียงที่สวด “นาโม อาหมีถัวฝอ” ต้องสวดออกมาให้มีความชัดเจน  เสียงสวด “นาโม อาหมีถัวฝอ” ที่ฟังเข้าไปในหูก็ต้องชัดเจน  เช่นนี้จึงสามารถทำให้ ใจ ปาก ความคิด รวมเป็นหนึ่ง ได้มาตรฐาน 3 กรรมสะอาดบริสุทธิ์  ค่อยๆเข้าสู่สภาวะของ “จิตหนึ่งใจเดียวสวดพุทธนาม จิตหนึ่งใจเดียวคือพุทธะ”

ไฉ้เซิง : ขอถามพระอาจารย์  ควรสวดอย่างไรจึงจะเหมาะสมกว่ากันครับ  ระหว่างสวดว่า “อาหมีถัวฝอ” กับสวดว่า “นาโม อาหมีถัวฝอ”

พุทธจี้กง : “นาโม” คำนี้ หมายถึง การนอบน้อมยึดเป็นที่พึ่ง  ก็คือการเอาชีวิตและร่างกายของตัวเองทั้งหมดมอบให้พระพุทธะ  ดังนั้นสวดว่า “นาโม อาหมีถัวฝอ” จึงมีความเคารพกว่า   เอาล่ะ ! ได้เวลาแล้ว  เตรียมออกเดินทางกันเถอะ

ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา  หากเจ้ายังมีคำถามอะไรสงสัยอีก  เดี๋ยวรอให้ถึงแดนสุขาวดีแล้วเจ้าค่อยถามพระโพธิสัตว์ก็แล้วกัน

ไฉ้เซิง : ครับ

พุทธจี้กง : ใกล้ถึงแดนสุขาวดีแล้ว  เบื้องหน้านั่นมีพระโพธิสัตว์มารับแล้ว  ศิษย์เรา เจ้ารีบกราบพระโพธิสัตว์สิ

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี  เชิญลุกขึ้นเถิด

ไฉ้เซิง : ขอบคุณพระโพธิสัตว์เมตตา  พระโพธิสัตว์โปรดชี้แนะ  ถ้าหากชาวโลกต้องการสวดพุทธนามเพื่อมาเกิดแดนสุขาวดี  ใช่หรือไม่ว่าจะต้องนับถือศาสนาพุทธ  กราบไหว้พระธรรมาจารย์ในศาสนาพุทธเป็นอาจารย์

โพธิสัตว์ : แน่นอนเมธี  ผู้ที่ต้องการสวดพุทธนามเพื่อมาเกิดแดนสุขาวดี  ย่อมจะต้องนับถือศาสนาพุทธ  ยึดศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยว  กราบไหว้อาจารย์เพื่อศึกษาพุทธธรรม  รักษาศีลห้า เว้นจากการฆ่า  การลักขโมย  การประพฤติผิดในกาม  การพูดปด  และการเสพสิ่งมึนเมา  เช่นนี้จึงเป็นเหตุผลที่สมควร

ไฉ้เซิง : แล้วถ้าหากว่าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ  เพียงแค่อยากสวดพุทธนามเพื่อมาเกิดแดนสุขาวดีได้ไหมครับ ?

โพธิสัตว์ : ถ้าหากไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ  แต่มีจิตใจที่ดีงาม  น้อมประพฤติปฏิบัติตามกุศลความดีทั้งหลาย  ไม่ทำเรื่องผิดบาปอกุศลทั้งปวง  มีจิตหนึ่งใจเดียวสวดท่องพุทธนาม  ก็ยังคงสามารถได้รับการต้อนรับและนำพามาเกิดแดนสุขาวดีจากพระพุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลายอยู่ดีนั่นแหละ

ไฉ้เซิง : มีบางธรรมวิถีที่ประกาศว่า “จิตคือพุทธะ พุทธะคือจิต” ความคิดเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือไม่

โพธิสัตว์ : ถึงแม้จะมีบางธรรมวิถีที่ประกาศว่า “จิตคือพุทธะ พุทธะคือจิต” แต่เวไนยในยุคท้ายมีกัมมาวรณ์หนัก  ด้วยเหตุนี้เลยกลายเป็น “จิตไม่ใช่พุทธะ พุทธะไม่ใช่จิต” ไปเสียแล้ว  ดังนั้นความคิดฟุ้งซ่าน  ความคิดเพ้อเจ้อเพ้อฝันจึงเกิดขึ้นพร้อมๆกัน  หากสามารถมีจิตหนึ่งใจเดียวสวดท่องพุทธนาม   เก็บความคิดที่ฟุ้งซ่านทั้งหลายกลับคืนสู่ความคิดเดียว  ทุกความคิดมีแต่ “อาหมีถัวฝอ” เช่นนี้แล้ว  หนึ่งคนสวดพุทธนาม หนึ่งคนก็สำเร็จพุทธะ  หมื่นคนสวดพุทธนาม  หมื่นคนก็สำเร็จพุทธะ  การสวดพุทธนามเดิมทีก็ไม่ได้มีการแบ่งแยกฝักฝ่าย  ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครร่ำรวย  สูงศักดิ์  ยากจน  ต่ำต้อย  โง่เขลา  ซึ่งตรงกับที่กล่าวว่า “ทุกคนยินดีปรีดิ์เปรมกันถ้วนหน้า” ไม่ใช่หรือ ?

ไฉ้เซิง : ถ้าหากไม่ได้กินเจสามารถสวดพุทธนามได้หรือไม่ ?

โพธิสัตว์ : ได้สิ

ไฉ้เซิง : แต่ผู้น้อยอยู่ในร้านอาหารเจเห็นในคัมภีร์ “เหตุต้นผลกรรม 3 ชาติ” มีอยู่หน้าหนึ่งเขียนว่า “เหตุใดชาตินี้จึงกระอักเลือด  เป็นเพราะว่าชาติก่อนกินเนื้อท่องพระสูตร” อย่างนี้จะอธิบายว่าอย่างไร ?

โพธิสัตว์ : นั่นเขาหมายถึงคนที่ออกบวช  เพราะว่าชายที่ออกบวชเป็นภิกษุ (ในมหายาน) จะต้องถือศีล 250 ข้อ  หญิงที่ออกบวชเป็นภิกษุณี (ในมหายาน) จะต้องถือศีล 500 ข้อ  ดังนั้นคนที่ศึกษาพุทธธรรมอยู่ที่บ้านโดยไม่ได้ออกบวชจึงไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตของเงื่อนไขนี้  แต่เพื่อเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความเคารพที่เรามีต่อพระพุทธะ  ดีที่สุดก็ควรบ้วนปากให้สะอาดก่อนที่จะสวดพุทธนาม

ไฉ้เซิง : งั้นคนที่สวดพุทธนามโดยที่ไม่ได้กินเจก็สามารถมาเกิดยังแดนสุขาวดีได้ใช่ไหมครับ ?

โพธิสัตว์ : ประเภทนี้คือการนำกรรมติดตัวมาเกิด  ดีที่สุดคือสามารถละเว้นจากการฆ่า  หรืออาจจะกินเพียงเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ 3 อย่าง

ไฉ้เซิง : อย่างไรเรียกว่า เนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ 3 อย่าง ?

โพธิสัตว์ : เนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ 3 อย่าง คือ 1. เนื้อที่เราไม่ได้เห็นตอนที่เขากำลังฆ่า 2. เนื้อที่เราไม่ได้ยินเสียงตอนที่เขากำลังฆ่า 3. เนื้อที่เขาไม่ได้เจาะจงฆ่าเพื่อเอามาให้เรากิน   นี่ก็คือเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ 3 อย่าง  แต่ถ้าหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยก็สามารถยกระดับขึ้นอีกขั้นโดยการกินเจแบบเฉพาะกาล

ไฉ้เซิง : ใช่หรือไม่ว่ากินเจตอนมื้อเช้า ?

โพธิสัตว์ : ใช่ !  คนสวดพุทธนามที่เพิ่งจะเริ่มฝึกกินเจ  สามารถเริ่มต้นฝึกกินเจในตอนมื้อเช้าก่อน  หรืออาจจะกินเจแบบ 6 วัน   กินเจ 6 วันก็คือ วันที่ 8 , 14 , 15 , 23 , 29 , 30 ของทุกเดือน (ในที่นี้หมายถึงเดือนตามจันทรคติของจีน) ถ้าหากเดือนไหนเป็นเดือนเล็ก (เดือนเล็กคือเดือนที่มีแค่ 29 วัน) ก็เปลี่ยนจากกินเจวันที่ 29 , 30 มาเป็นวันที่ 28 ,29 แทน

ไฉ้เซิง : ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์ อย่างนี้จะจำยากเกินไปหรือป่าวครับ ?

โพธิสัตว์ : จำไม่ยากหรอก เพราะว่าวันที่ 8 เป็นคืนจันทร์เสี้ยวข้างขึ้น พระจันทร์มีลักษณะเสี้ยวดั่งคันธนู เรียกว่า “จันทร์เสี้ยวข้างขึ้น”  วันที่ 14 , 15 เป็นคืนจันทร์เพ็ญ  มีพระจันทร์เต็มดวง  วันที่ 23 เป็นคืนจันทร์เสี้ยวข้างแรม  พระจันทร์มีลักษณะเสี้ยวดั่งคันธนู เรียกว่า “จันทร์เสี้ยวข้างแรม” วันที่ 29 , 30 เป็นคืนจันทร์ดับ  ถ้าหากกินเจ 6 วันจนเคยชินแล้วและสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย ก็สามารถยกระดับขึ้นอีก เปลี่ยนเป็นกินเจแบบ 10 วัน กินเจแบบ 10 วัน ก็คือกินเจแบบ 6 วัน แต่เพิ่มวันที่ 1 , 18 , 24 , 28 เข้ามาอีก 4 วัน  ก็กลายเป็นกินเจแบบ 10 วันแล้ว

(เนื่องจากวันที่ดังกล่าวข้างต้นเป็นวันที่ตามปฏิทินจันทรคติของจีน หากท่านผู้อ่านดูปฏิทินจีนไม่เป็น ท่านสามารถปรับใช้ให้เข้ากับปฏิทินจันทรคติของไทยได้ ดังนี้คือ วันที่ 8 , 14 , 15 , 23 , 29 , 30 ตามจันทรคติจีน เมื่อเทียบกับวันที่ตามจันทรคติไทยจะเป็น วันขึ้น 8 ค่ำ ขึ้น 14 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 8 ค่ำ แรม 14 ค่ำ แรม 15 ค่ำ ส่วนอีก 4 วันที่เหลือ คือวันที่ 1, 18 , 24 , 28 ถ้าเทียบกับวันไทยก็คือ วันขึ้น 1 ค่ำ และวันแรม 3 ค่ำ แรม 9 ค่ำ แรม 13 ค่ำ)

ไฉ้เซิง : ได้รับความกรุณาจากพระโพธิสัตว์ที่เมตตาพร่ำสอน ผู้น้อยซาบซึ้งพระคุณยิ่งนัก

โพธิสัตว์ : พระอมิตาภพุทธเจ้าของพวกเราเห็นเวไนยนับวันจะยิ่งเขลาหลงหนักขึ้นทุกวัน  ไม่เชื่อในเหตุต้นผลกรรม  ไม่เลื่อมใสศรัทธาในพุทธธรรม  ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สำนักธรรมของชาวหลวนเหมินได้ก่อตั้งขึ้น  ธรรมวิถีแบบสะดวกของชาวหลวนเหมินได้ทำการปกโปรดฉุดช่วยอย่างกว้างขวาง  และสามารถฉุดช่วยคนได้นับไม่ถ้วน  เรารู้ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้บำเพ็ญในธรรมวิถีแห่งแดนวิสุทธิภูมิสุขาวดีนี้  แต่ด้วยพลังปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเจ้า  ดังนั้นครั้งนี้เจ้าจึงสามารถได้รับพระโองการให้มาประพันธ์หนังสือที่นี่  ก็หวังว่าเจ้าจะเป็นพยานบุคคลซึ่งเป็นประจักษ์พยานให้กับแดนสุขาวดีแห่งนี้

ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง  ขอขอบคุณพระพุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ให้โอกาสแบบนี้กับผู้น้อย  หวังว่าหลังจากที่หนังสือเล่มนี้ประพันธ์เสร็จแล้ว  ทุกๆคนจะสวดพุทธนาม  ทุกๆคนจะสามารถสำเร็จเป็นพุทธะ

โพธิสัตว์ : งั้นก็ดียิ่งแล้ว

ไฉ้เซิง : แต่ว่าการบำเพ็ญปฏิบัติของธรรมวิถีอื่นๆนั้นก็ไม่เลวเช่นกัน

โพธิสัตว์ : หนทางในการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมของธรรมวิถีอื่นๆต่างก็ล้วนดีทั้งนั้น  แต่ว่าบางธรรมวิถีไม่ใช่ว่าคนที่มีปัญญาตื้นเขิน มีอินทรีย์ไม่แก่กล้าจะสามารถบำเพ็ญได้สำเร็จ  มีเพียงธรรมวิถีแห่งแดนวิสุทธิภูมิสุขาวดีที่ปกโปรดอย่างกว้างขวางที่สุด  สามารถอนุเคราะห์รากบุญทั้ง 3 ระดับ  ฉุดช่วยทั้งเวไนยผู้มีปัญญาทึบและเวไนยผู้มีปัญญาเฉียบแหลมกลับคืนไปอย่างเสมอภาคกัน

ไฉ้เซิง : จริงหรือครับ ?

โพธิสัตว์ : เจ้าดูสิ  ชีวิตคนแสนจะสั้น  ถ้าหากผู้บำเพ็ญธรรมไม่รู้จักรักษาโอกาสไว้ให้ดีๆ  เมื่อสูญเสียร่างกายของมนุษย์นี้ไปเพียงครั้งเดียว การที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  เพราะการได้เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์นั้นคือของยาก

ไฉ้เซิง : ใช่ไหมครับว่ายังบำเพ็ญไม่ทันสำเร็จก็ตายซะก่อน

โพธิสัตว์ : ถูกต้อง

ไฉ้เซิง : แต่ว่าสวดพุทธนามแล้วสามารถได้มาเกิดแดนสุขาวดีจริงๆเหรอครับ ?

โพธิสัตว์ : เมธี ! เหตุใดเจ้าจึงได้มีความคลางแคลงใจมากเช่นนี้  เจ้าต้องรู้นะว่าจะได้มาเกิดแดนสุขาวดีหรือไม่  ทั้งหมดขึ้นอยู่กับปณิธานและความเชื่อมั่นของผู้สวดพุทธนามเอง  มีปณิธานและความเชื่อมั่นก็ได้มาเกิด  หากไร้ปณิธานและความเชื่อมั่นก็ไม่ได้มาเกิด  จะได้เกิดในดอกบัวระดับสูงหรือต่ำลงมา  ทั้งหมดก็อยู่ที่ตัวของผู้สวดเองว่าบำเพ็ญได้ระดับไหน

ไฉ้เซิง : ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ช่วยอธิบายให้ตื่นแจ้ง

โพธิสัตว์ : เมธี ! เจ้ารู้หรือไม่ว่า สวดพุทธนามก็คือตื่นแจ้ง ?

ไฉ้เซิง : คืออย่างไรครับ อธิบายให้ฟังหน่อย

โพธิสัตว์ : ขอเพียงได้มาเกิดที่แดนสุขาวดี ก็ไม่มีหรอกที่จะไม่ตื่นแจ้ง

ไฉ้เซิง : คืออย่างไรครับ ?

โพธิสัตว์ : เพราะว่าสภาพแวดล้อมของแดนสุขาวดีนั้นมีความประเสริฐยิ่งนัก ทุกๆวันได้ฟังพุทธธรรม  ทุกๆวันได้บำเพ็ญฝึกฝนพุทธธรรมร่วมกับพระโพธิสัตว์และมหาสัตบุรุษทั้งหลาย มีหรือที่จะไม่ตื่นแจ้ง

พุทธจี้กง : เอาล่ะ ! ได้เวลาแล้ว ศิษย์เรารีบกราบลาพระโพธิสัตว์สิ

(ไฉ้เซิงกราบลาพระโพธิสัตว์ พระพุทธจี้กงพาไฉ้เซิงมาโผล่ที่เซิ่งเทียนถังในชั่วพริบตา)

พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว วิญญาณกลับเข้าร่าง


อริโยวาทเมฆขาว

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

ครั้งที่ 22 ตอน พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago

หมอดู

ชิงหยางจื่อ

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
video

หมูปิ้งกระทิสด(อาหารเจ)

admin
mindcyber
2 years ago

เหตุที่มีสามีคนเดียวกัน

สมัยมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าเคยไกล่เกลี่ยให้แก่สามีภรรยาคู่หนึ่ง เรื่องเป็นดังนี้

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago