mindcyber 1 month ago
admin #holy

เส้นทางอริยะ ตอนที่เก้า

ธรรมาจารย์บรรยายธรรม           พุทธรูปไม่เปล่งวาจา

 ปทุมผุดเหนือปัญญานที             รัศมีเจ้าคุ้มวิญญาณ

พระอรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2525

กลอนนำเสด็จ

ฤดูกาลหมุนเวียน           จิตคนใฝ่กุศล

ผลบุญเร่งตักตวง            ประคองจิตมั่นคง

เปลี่ยนลมเย็นซาบกมล    ปฏิบัติมุ่งสัมโพชฌงค์

ผลพวงจากกิจการตรง    หลายสิบปีจนสิ้นกรรม

อรหันต์จี้กง : เดือนสิงหาคมผ่านพ้นไปแล้ว เทศกาลสารทพระจันทร์ใกล้เข้ามา เสื้อผ้าที่เคยใส่บาง ๆ บัดนี้เริ่มต้องเพิ่มเสื้อขึ้นทีละตัว ๆ ร่างกายชาวโลกปกติจะมีไฟโลภ ไฟโทสะและไฟอยาก พูดถึงแล้วมีความอบอุ่นมาก มนุษย์เราถ้าถอดเอาเสื้อธรรมะออกเสีย ก็จะพบกับรูปผีเปรต เวลาพบกันข้างนอกแลเห็นท่อนบนเปลือยเปล่า อาตมาถามเขาว่าร้อนไหม? เขาตอบว่า “ร้อนมาก ก่อนนี้ใช้พัดไผ่สานก็เย็นอยู่แต่เดี๋ยวนี้ใช้พัดลมก็ไม่รู้สึกเย็น เพราะว่าไฟในตัวฉันร้อนแรงแม้แต่เครื่องทำความเย็นก็ยังไร้ผล”

     เห็นแผงลอยตามถนนมีน้ำร้อน ถั่วเขียวต้ม น้ำจับเลี้ยง น้ำส้ม น้ำมะนาว วิ่งที่วางขายอยู่นี้ย่อมบ่งบอกให้รู้ว่าไฟในคนนั้นร้อนแรงขนาดไหน คนที่ไม่มีเสื้อธรรมะใส่อยู่ก็จะเห็นคราบของคนบาป เออ เอ่อ! ชาวโลกมีไฟรุนแรงมุทะลุดุดัน จึงทำให้สภาพสังคมเสื่อมทรามลง ขณะนี้สำนักบ่อเก๊กเซี้ยเต็กตึ้ง แบกหน้าที่ปรับปรุงสภาพสังคมให้ดีขึ้นนับเป็นภาระอันหนักหน่วงในการฟื้นฟูจริยธรรม หวังว่าผู้คนคงเร่งรีบขึ้นยานเมตตา อย่าได้วนเวียนอยู่ในโลกีย์โลกจนลืมกลับ ขอให้ทุกคนจงใส่เสื้อธรรมะ เป็นผู้มีธรรมดีเพื่อให้เข้ากับธรรมแห่ง ฟ้า – ดิน หยางเซิงรีบขึ้นบนบัวอาสน์เตรียมเดินทางแต่งหนังสือ “เส้นทางอริยะ”

หยางเซิง : ขอรับกระผม! มิทราบว่าเราจะไปไหนกันดี?

อรหันต์จี้กง : ทุกแห่งมีธรรม ขอเพียงยึดมั่นในพุทธจิต ทุกแห่งเป็นลานธรรม เส้นทางอริยะไม่ไกล ไม่คด วันนี้เราจะไปเยี่ยมเยือนพุทธสถานแห่งหนึ่ง

หยางเซิง : ก็ดีขอรับ! กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางได้!

อรหันต์จี้กง : ถึงแล้ว

หยางเซิง : ที่นี่ดูเหมือนพุทธสถาน

อรหันต์จี้กง : ใช่แล้ว! เป็นที่ๆมนุษย์อยู่ ย่อมเป็นพุทธสถาน

หยางเซิง : พูดว่าอย่างไงนะ

อรหันต์จี้กง : มนุษย์เคยเป็นอดีตพุทธ ปัจจุบันพุทธ อนาคตพุทธรวมกายทั้งสามเป็นหนึ่ง ดังนั้น ที่ ๆ มนุษย์อยู่ นอน ย่อมเป็นพุทธสถาน

หยางเซิง : อาจารย์พูดได้แยบยล แต่ที่นี่มีพระพุทธรูปไว้บูชามีคนมาฟังธรรมด้วย จะเป็นพุทธสถานส่วนรวมใช่ไหม?

อรหันต์จี้กง : ที่นี่เป็นพุทธสถานที่มีคนมากหน่อย ก็ถือว่าเป็นของส่วนรวม ค้าภายในบ้าน มีคนเพีบงไม่กี่คนก็ถือว่าเป็นพุทธสถานเล็ก เหมือนนักเรียนที่มาโรงเรียน ก็เป็นโรงเรียนใหญ่ส่วนรวม เมื่อกลับบ้านก็มีผู้ปกครองดูแลสั่งสอน ก็เป็นโรงเรียนเล็ก!

หยางเซิง : ถ้างั้น อยู่ในพุทธสถานอันไหนจึงจะได้ธรรมะอันแม้จริง?

อรหันต์จี้กง : เมื่อเรามาถึงพุทธสถานแล้ว เข้าไปกราบพระก่อน! ขุนพลผู้รักษาพุทธสถานได้นำน้ำชามาทางเราแล้วเราอยู่ที่นี่รู้สึกจะเสียมารยาทเล็กน้อย

หยางเซิง : ขอรับ!

ขุนพล : ยินดีต้อนรับท่านพระจี้อง และคุณหยางเซิง ที่มาเยี่ยมเยือน

หยางเซิง : มิกล้าขอรับ! วันนี้ได้ติดตามอาจารย์มาที่นี่ เพื่อกราบนมัสการเทพ พุทธ

อรหันต์จี้กง : เธอกราบไหว้ รูปลักษณ์หรือธรรมลักษณ์

หยางเซิง : กระผมกราบไหว้ทั้งสอง

อรหันต์จี้กง : พูดว่ายังไงนะ

หยางเซิง : พุทธรูป แม้จะเป็นภาพวาดหรือรูปปั้น แต่ก็เหมือนมีชีวิต เหมือนกับพุทธแท้ ๆ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ พุทธสถานก็ดูไม่สมจริง แล้วผู้คนที่มาล่ะ เมื่อมีรูปลักษณ์แล้ว ธรรมลักษณ์จะเกิดตามมา มีการแสดงพุทธธรรม ผู้คนก็จะเกิดความรู้สึกร่วมกัน ดูอย่างพระสูตร ก็เป็นเพียง “รูปสมุด” เล่มหนึ่งซึ่งบันทึกเรื่องราวร่องรอยของเหล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากอดีตซึ่งทำให้เราได้รู้ถึงฟ้านิมิต อย่างเมื่อวานท่านอาจารย์ยังไหว้ศพ (โครงกระดูก) กระผมว่า ไหว้รูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังมีเหตุผลกว่า

อรหันต์จี้กง : ถ้าหากว่า พุทธแท้ ๆ ไม่อยู่ล่ะ?

หยางเซิง : ถ้าเช่นนั้นกระผมก็ไม่เสียหายอะไร ก็ถือว่าคารวะพุทธแท้ที่อยู่ในกายเรา ตอนนี้ดูเหมือนธรรมาจารย์กำลังบรรยายอย่างออกรสออกชาติ รัศมีเปล่งปลั่ง น้ำลายดุจสระบัวมีดอกบัวลอยอยู่เหนือศีรษะผู้ฟังนับจำนวนและชนิดไม่ถ้วนนี่แหละคืออานิสงส์แห่งการบรรยายพุทธธรรม! แต่แปลกที่ทำไมมีภาพพิสดารอย่างนี้

อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! เธอได้ฟังพระคุณเจ้าบรรยายธรรมปากพ่นดอกบัวใช่ไหม? ภาพพิสดารอย่างนี้ ตาปุถุชนมองไม่เห็น วันนี้เจ้าได้เห็นเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกพิศวง ในขณะที่พระคุณเจ้ากำลังบรรยายอยู่นั้น ภายในดวงปัญญาหากมีสติสามารถรับฟังธรรมอันล้ำลึกได้ เขาก็จะสามารถรับเอาดอกบัวที่พ่นจากปากอาจารย์เข้าไว้ในดวงปัญญานั้นได้

หยางเซิง : อัศจรรย์  อัศจรรย์! แต่ดอกบัวบางดอกก็เล็ก บางดอกก็ยังไม่บาน มีบางดอกก็บานเต็มที่ อันนี้มีความหมายว่าอย่างไร?

อรหันต์จี้กง : เออ เอ่อ! บัวอาสน์ใช้นั่ง คงไม่สะอาดใช่ไหม? เมื่อมาอยู่เหนือหัวก็เป็นดอกบัวใจ อันบัวอาสน์ก็เป็นตำแหน่งที่ได้รับของผู้ปฎิบัติธรรม

หยางเซิง : ถ้าเช่นนั้น เหล่าพุทธะที่นั่งอยู่บนบัวอาสน์จะอธิบายว่ากระไร?

อรหันต์จี้กง : เหล่าพุทธะ โพธิสัตว์ ไม่เปื้อนกิเลส ก็สามารถนำเอาบัวบนศีรษะมานั่งได้ บนล่างไม่เกี่ยวกันอย่างไรแต่พวกเขาตอนนี้ยังเป็นปุถุชน เลยต้องนั่งอยู่บนบัวอาสน์ที่เป็นปูนไปก่อน

ถึงสำนักแล้วศิษย์รัก! ตอนนี้เรามาถึงสำนักกายเนื้อของเจ้า กำลังถูกกุมารเทพแห่งสระทิพย์เข้าทรงอยู่เรายืนอยู่ตรงข้างๆก่อน ให้อาจารย์ถามเจ้าหน่อยว่า เจ้าเชื่อการเข้าทรงไหม?

หยางเซิง : หากพูดไม่เชื่อ มิเป็นการตบปากตนเองหรอกหรือ?

อรหันต์จี้กง : เจ้าเชื่อไม้ทรงที่ขยับไปมา หรือเชื่อหลักธรรมที่เขียนขึ้น

หยางเซิง : กระผมย่อมเชื่อหลักธรรมที่มีเหตุผล สะกิดใจคน ถ้าหากไม้ทรงที่ขยับไปมาแล้วเขียนไม่ได้หลักธรรมที่ดีกระผมก็ไม่เชื่อถือ

อรหันต์จี้กง : อย่างนั้นเจ้าเชื่อว่ามีหรือไม่มีล่ะ?

หยางเซิง : กระผมเชื่อว่ามี เพราะว่าธรรมย่อมไม่มีเหนือกว่าหลักธรรม ที่เชื่อว่าไม่มี เพราะว่าตัวธรรมเองไม่มีเพื่ออะไรเพียงอาศัยไม้ทรงเพื่อถ่ายทอดหลักธรรม ไม่ติดยึดในไม้ทรงยามไม้ทรงหยุดนิ่ง เทพ พุทธ ก็ถอยทรง ตอนนี้กระผมคืนสู่ภาวะปกติ พุทธะเองก็ปกติ เมื่อพุทธไปมาก็ยุติความเกี่ยวข้อง กระผมยอมที่จะเป็นพุทธะเอง เพราะพุทธะภายนอกย่อมกลับคืนสู่ความไม่มีแสง สี เสียง ว่างเปล่า ดังนั้นกระผมจึงเชื่อว่าไม่มี กระผมเป็นกระผม ท่านเป็นท่าน จะเข้าทรงได้ตลอดวันคืนอย่างไร กระผมเข้าถึงความสุนทรีแล้ว

อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! เจ้าเชื่อถือตนเอง ไม่เชื่อถือข้า ฯ แล้วหรือ?

หยางเซิง : มิได้ขอรับ ท่านเป็นพุทธะ กระผมฝึกพุทธะ กระผมเป็นร่างทรง และก็เขียนหนังสือได้ ท่านพูด กระผมพูด ก็เป็นคำพูดเหมือนกัน ขอเพียงไม่พ้นจากเหตุผลอันนี้ก็พอ มันก็เป็นอย่างนี้!

อรหันต์จี้กง : อย่างนี้ อย่างนั้น ที่สุดอย่างไหนกัน

หยางเซิง : o...........

อรหันต์จี้กง : เปิดเผยไม่ได้ เปิดเผยไม่ได้ พอแล้ว! สำนักเซี้ยเต็กตึ้ง มีพระรูปตั้งอยู่สามศาสนา ไม่รู้ว่าหยางเซิงจะเลื่อมใสรูปไหนมากกว่า?

หยางเซิง : อันนี้กระผมพูดไม่ได้ พูดไปแล้วจะไม่ยุติธรรมหากพูดว่าเลื่อมใสองค์นี้ จะกลายเป็นไร้มารยาทต่อองค์อื่น ดังนั้น ต้องพูดว่า นับถือเหมือนกันหมด ค่อยจะยุติธรรมหน่อยหนึ่ง

หยางเซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง วันนี้ได้ฟังทั้งพระธรรมาจารย์และอาจารย์ แต่เอ๊ะ บนศีรษะอาจารย์ทำไมไม่มีสักครึ่งดอกเลยล่ะ?

อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! หยางเซิง เธอนี่ซื่อบริสุทธิ์ ไม่คิดถึงว่าเราได้นั่งบัวอาสน์มาด้วยกัน อันนี้จะไม่ดีกว่าอันนั้นหรือ? พอแล้ว ตอนนี้เราสัมภาษณ์ ขุนพลที่เป็นเทพรักษาพุทธสถานดีกว่า

หยางเซิง : ก็ดีขอรับ! ขอเรียนถามท่านขุนพล กระผมเห็นว่าท่านแต่งกายไม่เหมือนขุนพล ใบหน้าก็ละมุนละไม ทำไมจึงสามารถรับหน้าที่รักษาพุทธบัลลังก์นี่เล่า?

ขุนพล : เออ เอ่อ! คาดเดาจากหน้าตาไม่ได้ น้ำทะเลยังตวงไม่ได้ เทพ พุทธ ก็มิได้อยู่ที่รูปลักษณ์ ผู้คนมักเห็นหุ่นขุนพลต้องทะมัดทะแมง ล่ำสัน อย่างผู้ที่ปกปักรักษาพระวัชรธรรมถึงแม้จะดูดุดันน่ากลัว แต่กับผู้ปฎิบัติธรรมเขาจะมีลักษณะเมตตาอ่อนโยน สนิทสนม และเพิ่มความดูแลเอาใจใส่ สำหรับข้าพเจ้า แม้ได้ชื่อว่าเป็นขุนพล แต่ก็เป็นเพียงเทพารักษ์ที่คอยดูแลพุทธสถานแห่งนี้เท่านั้น ลักษณะภายนอกจะสุภาพแต่ภายในจะเข้มแข็งดังพระอรหันต์ ซึ่งมารภายนอกไม่อาจจะกล้ำกรายเข้ามาได้!

หยางเซิง : ได้ฟังความของท่านขุนพล ทำให้เข้าใจถ่องแม้มีตาแต่หามีแววไม่ ขอท่านขุนพลโปรดอภัยด้วย เมื่อครู่ท่านบอกว่าเป็นเทพารักษ์ที่ดูแลพุทธสถานแห่งนี้ จะกรุณาเล่ารายละเอียดถึงขั้นตอนการดูแลรักษาได้ไหม

ขุนพล : ในสำนักพุทธสถานเป็นที่ตั้งแห่งพุทธรูปให้คนกราบไหว้และก็มีคนมาศึกษปฏิบัติธรรม พุทธสถานก็คล้ายเป็นแหล่งธรรมะ จึงได้จุติลงยังพุทธสถานเพื่อเปล่งพุทธรังสี เพื่อช่วยขจัดปัดเป่าให้เวรกรรมของผู้คนลดน้อยถอยลง เพื่อให้จิตวิญญาณสดใสขึ้น

     ผู้ปฏิบัติธรรมที่มุ่งมั่นจะบรรลุธรรม มักจะมีเวรกรรมทั้งสามชาติรุมเร้า ซึ่งมีเหตุผลอยู่ 2 ประการ

     1. กลัวว่าเธอจะสำเร็จธรรมไปสู่แดนสุขาวดี ก็หมดโอกาสที่จะทวงหนี้กรรม

     2. และเพราะเธอกำลังบำเพ็ญบุญอยู่ เจ้าหนี้ก็ถือโอกาสนี้มาทวงหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุติธรรม ก็เหมือน ๆ กับในสังคมมนุษย์พอเธอมีเงิน เจ้าหนี้ก็มาทวงถึงบ้าน มนุษย์ถึงแม้จะมีเวรกรรมติดตัวอยู่ เจ้าหนี้ที่ไร้ตัวตนจะรุมทวงหนี้ แต่ก็มีขอบเขตจำกัด คือ จะไม่ยินยอมให้เจ้ากรรมนายเวรถึงกับทำร้ายผู้ปฏิบัติธรรม ดังนั้น ข้าพเจ้าซึ่งคอยปกป้องผู้ที่มาเรียนธรรม เพื่อไม่ให้มารมาผจญ ด้วยเหตุนี้พวกที่มีสุขภาพไม่ค่อยปกติ สติปัญญาไม่ค่อยดี ควรจะมาพุทธสถานบ่อย เพื่อให้พุทธรังสีคุ้มเกล้าในขณะเดียวกันก็สามารถขจัดปัดเป่าเวรกรรมให้ลดน้อยลงได้

หยางเซิง : ถ้าอย่างนั้น พุทธสถานก็เป็นเหมือนแดนคุ้มกันสำหรับนักปฏิบัติธรรม ยิ่งอยู่ใกล้พุทธสถานก็ยิ่งได้รับความสงบสุข

ขุนพล : อยู่ใกล้พุทธสถานเห็นหน้าพระพุทธรูป ทำให้อารมณ์สงบ ฟังคำสั่งสอนทำให้เพิ่มสติปัญญา เปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต พุทธรังสีสามารถขจัดเวรกรรม แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีเรื่อง

หยางเซิง : อย่างนี้หมายความว่ากระไร?

ขุนพล : คุณฟังข้าพเจ้าอธิบาย คำว่า “สงบสุข ไม่มีเรื่อง” ว่ามีความหมายอะไร

     คำว่า สงบ มนุษย์มีจิตที่ โลภ โกรธ หลง ไม่สงบใช่ไหม? “จิตสงบ คือ ทางก็ราบเรียบ จิตว้าวุ่น ทางก็คดเคี้ยว” ดังนั้นถ้าจิตสงบ กายก็สงบด้วย แล้วจะมีเคราะห์ได้อย่างไร? คำว่า สุข เมื่อมนุษย์มีอารมณ์สงบ สมาธิสติก็มั่นคง ความมงคลสุขก็เกิด ไม่ร้อนรน ไม่มีเรื่องที่น่าละอายอยู่จิต ธรรมชาติก็สงบสุข เป็นสิริมงคล

     คำว่า ไม่มี ไม่มีความฟุ้งซ่าน พูดเพ้อเจ้อไม่ติดยึดในรูปลักษณ์ กล่าวแต่ความดีของผู้อื่น เฉยต่อความไม่ดีของผู้อื่น จึงจะไม่ทุกข์ไม่ร้อน สามารถบรรลุถึงแดนนิพพานได้ คำว่า เรื่อง มนุษย์ไม่อยากมีเรื่อง จิตจึงจะสงบ เรื่องมากวุ่นวายมาก เรื่องไม่ใช่เรื่องอย่าไปยุ่ง อย่าปั้นเรื่องที่ไม่มีให้มี จะทำให้ปวดหัว เมื่อมีเรื่องก็จัดการให้ดี เมื่อหมดเรื่องใจก็สบายปลงให้มาก เรื่องทุกเรื่องก็จะสมหวัง

     ผู้ปฏิบัติธรรม หากเข้าใจถ่องแท้ถึงคำสั่งสอนของนักปราชญ์ เทพ พุทธ แม้จะอยู่นอกพุทธสถาน จะพบแต่ความสงบสุข ไม่มีเรื่อง เมื่อมาที่พุทธสถานก็ยิ่งสงบสุขไม่มีเรื่อง

หยางเซิง : ท่านขุนพลกล่าวสมเหตุสมผลมาก ธรรมะของท่านลึกล้ำ ไม่ทราบว่าช่วยเล่าประวัติความเป็นมาของท่านให้ฟังได้ไหม ?

ขุนพล : พูดแล้วก็ขายหน้า เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยมีคุณธรรมอะไรจะอวด แต่เพื่อเป็นการปลอบเตือนพี่ ๆ น้อง ๆ ก็จะเล่าพอสังเขป

     ข้าพเจ้าเดิมเป็นคนเมืองไถ่ตง เกิดอยู่ในบ้านชาวพุทธกินเจตั้งแต่ยังเล็กร่วมกับพ่อแม่พี่น้อง ไม่เคยทานเนื้อสัตว์เป็นเพราะศรัทธาในการให้ทาน ยามชราก็ปฏิบัติธรรมในบวรพุทธศาสนาจนจบได้มรรคผล แต่เพราะบุญบารมียังไม่สมบูรณ์ จึงต้องกลับมาเกิดอีก เมื่ออายุได้ 20 ปี เกิดอุบัติเหตุจนสิ้นชีวิต วิญญาณก็ล่องลอยสู่สวรรค์ สู่มรรคผลที่เคยสร้างไว้ แต่อยากจะโปรดเพื่อนมนุษย์ จึงสละตนลงมาสู่โลกมนุษย์ มาเป็นเทพารักษ์ใสพุทธสถานแห่งนี้ เมื่อเห็นผู้คนมีจิตศรัทธาปฏิบัติธรรม แม้นอยู่ในโลกมนุษย์แต่ก็มีความปลื้มปีติเหมือนได้อยู่แดนสวรรค์โดยไม่แตกต่างกัน ทั้งหมดเป็นประวัติของข้าพเจ้า เล่าให้คุณหยางเซิงโปรดพิจารณา คุณหยางเองก็เป็นผู้มีรากธรรมลึกซึ้ง ยังหนุ่มแน่นก็ได้ติดตามอาจารย์แต่งหนังสือหลายเล่ม เป็นที่ชื่นชอบของผู้อ่านมากมายได้โปรดผู้คนไม่น้อย ข้าพเจ้าก็อดชื่นชมไม่ได้

หยางเซิง : อันนี้เป็นหน้าที่สวรรค์ ถือเป็นหน้าที่ตนเองด้วยขอเพียงทำเต็มความสามารถ ขอท่านขุนพลโปรดให้ความคุ้มครองเพื่อให้แหล่งธรรมะเจริญรุ่งเรือง เพื่อต้องการโปรดชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น อันนี้เป็นเจตนารมณ์ของกระผม

ขุนพล : มีศรัทธามุ่งมั่น สวรรค์ต้องช่วยอุดหนุนเพื่อกอบกู้ผู้มีบุญยานเมตตาเซี้ยเต็กตึ้งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้วในสวรรค์บ่อเก๋กขอเพียงเพิ่มความอุตสาหะ เพิ่มพลังย่อมสามารถออกสู่ท้องทะเลหลวง เพื่อรับโปรดผู้คนในทะเลลึก

หยางเซิง : ขอบคุณท่านขุนพลที่ส่งเสริม

อรหันต์จี้กง : พระคุณเจ้ากำลังจบการบรรยายธรรมแล้ว เรารบกวนท่านขุนพลอยู่ที่นี่นานแล้ว ต้องขอลาก่อน

ขุนพล : ขอส่งแขก

อรหันต์จี้กง : สำนักเซี้ยเต็กตึ้งถึงแล้ว หยางซิงลงจากบัวอาสน์วิญญาณกลับเข้าร่าง


ความสุขคืออะไร?

ความสุข คือ ความสบาย หรือความสำราญ แยกออกได้เป็นสองฝ่าย คือ ความสุขทางกาย กับความสุขทางใจ

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

กรรมของการทอดทิ้ง

เจ้าหลักเมือง ชิว

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

คิตพจน์เทพยดาเมฆขาว

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
ผัดจับฉ่าย

ผัดจับฉ่าย

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

เส้นทางอริยะ ตอนที่ยี่สิบ

1654918052.jpg
mindcyber
1 month ago