mindcyber 1 month ago
admin #holy

เส้นทางอริยะ ตอนที่ 10

สารทพระจันทร์                       แดนศักดิ์สิทธิ์ทิวทัศน์ดี

ศิษย์อาจารย์ร่วมชมจันทร์            ในย่ามมีทุกสิ่ง

อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2525

กลอนนำเสด็จ

 

ลมเย็นพัดโชยผ่าน         สารทจันทร์เดือนดารา

แสงเพ็ญคลอคู่คุย           พื้นหญ้าดุจนาวา

ซาบซ่านจิตต้นตุลา         ชาวพาราเที่ยวชายป่า

เดินดุ่ยดุ่ยถกธรรมา         แผ่เมตตาโปรดผู้คน

 

อรหันต์จี้กง : วันนี้ตรงวันแรมหนึ่งค่ำ กลางเดือนแปด (ของจีน) ดวงจันทร์บนท้องฟ้าคืนนี้กลมยิ่งกว่ากเมื่อคืนนี้ อาตมาจะพาหยางเซิงออกไปชมจันทร์ ไม่รู้ว่าหยางเซิงดีใจไหม

หยางเซิง : แหม ท่านอาจารย์จะพาไปชมจันทร์ ไม่น่ามีเหตุผลที่จะไม่ดีใจ

อรหันต์จี้กง :  ศิษย์รัก เมื่อคืนเจ้าไปเที่ยวไหนมา บอกอาจารย์มาก่อน

หยางเซิง :เมื่อคืนไปกับคนที่บ้าน ไปที่เขาเหวใหญ่เพื่อชมจันทร์ผ่านไปทีหนึ่ง เห็นคนกลุ่มหนึ่งสุมกองไฟไว้ มีทั้งเครื่องดื่มขนมนมเนย และเทปเพลง พวกเขากำลังเต้นดิสโก้อย่างสนุกสนาน พวกเราเดินผ่านพวกเขา แม้จะไม่รู้จักกันแต่เขาก็ร้องเรียกให้เข้าร่วมวงสนุกสนาน ผมเห็นทุกคนร้องเรียกด้วยความสนิทสนม เลยลงจากรถเข้าร่วมวงสนุกไปด้วยรู้สึกชีวิตก็มีช่วงเวลาแห่งความสุข รู้สึกว่ามีคุณค่า พวกเราก็มีอาหาร เครื่องดื่ม เลยนั่งสนทนากับเขาบนก้อนหิน พวกเด็กๆจุดพุไฟเล่น ผมก็เดินหาเศษไม้มาสุมไฟ ดูสว่างไสวไปทั่วความเป็นเด็กยังไม่หมดไปก็เลยสนุกไปกับเขาด้วย รู้สึกสบายใจมาก จนเวลาล่วงเข้าค่อนคืนจึงกลับบ้าน นี่คือการบันทึกของวันสารทพระจันทร์

อรหันต์จี้กง :  ความเป็นเด็กยังไม่หมดไป อันนี้ก็เป็นช่วงเวลาแห่งการระลึกถึงความหลัง คือวันเพ็ญแห่งเทศกาลสารทพระจันทร์ ช่างอุดมด้วยความคิดคำนึงระลึกถึง โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาว โดยต่างรอถึงวันสารท เพื่อจะได้ชักจูงเที่ยวชมจันทร์กันอีก สัมผัสกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ภายใต้แสงจันทร์ขณะเดียวกันก็มีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่พลาดท่าเสียทีกลับกลายเป็นอดีตที่ฝังใจ วันนี้สารทพระจันทร์ก็เลยมาแล้วดวงจันทร์ยิ่งสุกสกาว เมื่อคืนเป็นคืนที่ชาวบ้านเขาชมจันทร์แต่คืนนี้อาตมาจะพาเจ้าหยางเซิงไปชมจันทร์บ้าง หยางเซิงขึ้นบัวอาสน์เถอะ

หยางเซิง :  ผมขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ไปชมจันทร์กับท่านอาจารย์นับว่าได้ชมพร้อมกับชาวสวรรค์ เอ้อ ท่านอาจารย์ได้ตระเตรียมของว่างไว้บ้างหรือไม่

อรหันต์จี้กง : เธออย่าทำตะกละ ความจริงอาจารย์ก็ตะกละมากกว่า โอกาสอันดีเช่นนี้ไม่น่าให้ผ่านไป เธอดูที่ย่ามอาจารย์มีห่อผลไม้ทิพย์อยู่ห่อหนึ่ง รอให้ถึงที่ก่อนก็จะรู้ว่าเป็นอะไร

หยางเซิง : ถ้างั้นจะไปไหนกันดี

อรหันต์จี้กง : เราไปยังเขตใหม่ของเมืองไถ่ตง ตรงนั้นเป็นที่ราบเราไปอยู่ใกล้ ๆ แถวนั้น ที่นี่เป็นที่มงคล (เป็นที่ ๆ จะสร้างวิหารใหม่ ) เรานั่งกันลงมา คุยกันไปเรื่อยๆคงสนุกไม่น้อย

หยางเซิง : ท่านอาจารย์ดูเหมือนนักภูมิศาสตร์ ต้องหาภูมิประเทศที่ดีเพื่อชมจันทร์

อรหันต์จี้กง : เจ้านี่ก็คุยตลกเก่งไม่ใช่เล่น อาจารย์ไม่ใช่นักภูมิศาสตร์หรอก เห็นคนเขาว่า ข้า ฯ เป็นธรรมาจารย์! แผลบเดียวก็มาถึงที่ว่างกว้างใหญ่ ยานบัวอาสน์ได้มาหยุดลงเหนือพื้นหญ้าสีเขียว และในบริเวณข้างๆ ก็มีดอกบัวอาสน์เล็ก ๆ อยู่หลายดอก ที่นี่ผมรู้สึกว่าคุ้น ๆ นะ

อรหันต็จี้กง : อาจารย์กับศิษย์ดุจเร่ขายยาในน้ำเต้า พิสดารอย่าบอกใครเชียว อาจารย์เลือกที่นี่โดยเฉพาะเพื่อมาชมจันทร์บัวอาสน์ใหญ่ก็เป็นยานลำใหญ่ บัวอาสน์เล็กก็ยานลำเล็กธรรมสามารถกำเนิดหนึ่ง กำเนิดสอง กำเนิดหมื่น ๆ เพียงลงจอบวิเศษหน่อบัวก็เกิดขึ้น ผู้ปฏิบัติธรรมควรมีวิญญาณแห่งเกษตรกร ทีละจอบ ๆ ค่อย ๆ ไถหว่านจึงจะได้ผล เราชมกันที่นี่แหละ!

หยางเซิง : ดีทีเดียว! ที่ตรงนี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้จะไม่ใช่ดอยพระธาตุ แต่ดินที่นี่หอม ต้นหญ้าเขียวชอุ่ม ยังมีน้ำใสไหลผ่านถึงแม้จะอยู่กลางเมืองไถ่ตง แต่ก็เป็นแดนดอกท้อทิพย์ (สถานที่นี่ คือ สถานที่ก่อสร้างสำนักเซี้ยเต็กตึ้ง เลขที่ 39 ตอนที่ 4 ถนนเชิงเต่าเหนือ เมืองไถ่ตง)

อรหันต์จี้กง : หยางเซิงพูดถูก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ต้องดีที่อุดมการณ์ของคนก่อนว่า มีความจริงใจหรือไม่ หากสามารถเหยียบย่ำลงบนดินที่มีความราบเรียบไม่ว่าจะย่างก้าวทางไหนเท้าก็ติดดิน ดุจเต้าหยินที่อยู่บนดินแดนบริสุทธิ์

     ชั่วชีวิตคน ถ้ายอมเสียหน้าก้าวถอยหลังบ้างก็พันเคราะห์กรรมมากมาย ผู้ที่ชนะก็เหมือนพ่ายแพ้ บางครั้งมันก็แตกต่างกันในความพิสดารที่ลึกซึ้ง

หยางเซิง : อาจารย์ช่วยเอาของที่น่าทางออกมาเถอะ เราทานไปคุยไป จะได้มีรสชาติยิ่งขึ้น

อรหันต์จี้กง : ก็ได้ ! ข้า ฯ เอาผลไม้มาจากหน่ำผิ้ง และน้ำอมฤตยังมี “เหล้าจี้กง” เรามาดื่มกันสักแก้ว

หยางเซิง : เห็นอาจารย์ว่าอดเหล้าแล้วไม่ใช่หรื ทำไมยังนำเหล้ามาอีก

อรหันต์จี้กง : อันนี้เป็นเหล้าที่ทำเอง ดื่มแล้วไม่เมา ไม่เป็นไร

หยางเซิง : อาจารย์ผลิตเหล้าเองผิดกฎหมายนะ ทำไมผลิตได้ล่ะ?

อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! บนสวรรค์ไม่เหมือนในโลก เหล้าของข้า ฯใช้นทีสวรรค์เป็นวัตถุ เมื่อผ่านความร้อน ผ่านการขัดเกลาจากลมบริสุทธิ์สุริยันจันทราส่องแสง ผ่านการบ่มนานนับเดือนจนกระทั่งได้เหล้าดี คุณภาพไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะเรียกว่าเหล้า ที่แท้ก็คือ สุคนธา

หยางเซิง : อ๋อ!  ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ทำให้กระผมกระวนกระวาย

อรหันต์จี้กง : มา มา! เรามาแบ่งกันกินผลไม้ที่หอมชื่นภายใต้แสงจันทร์นี้กันเถิด

หยางเซิง : อื้ม! อร่อยมาก! ดูเหมือนจะเป็นสาลี่ คงเป็นสาลี่ศตวรรษที่ 20

อรหันต์จี้กง : เจ้าก็กินแต่ของศตวรรษที่ 20 เท่านั้น บนสวรรค์เขาศตวรรษที่ 21 แล้ว ดังนั้น ถ้าโลกนี้ดี บนสวรรค์ยิ่งดีใหญ่บนสวรรค์ล้วนเร็วกว่าบนโลกหนึ่งก้าว เพราะเทพเจ้าล้วนอยู่บนที่สูง พลังธรรมชาติจึงมากกว่าโลกมนุษย์ เทพ เทวดา สามารถเหินฟ้าได้นานแล้ว พวกเจ้าเพิ่งจะเหินฟ้าได้ไม่นาน นางฟ้าเซียงหง้อ ได้ถึงดวงจันทร์นานแล้ว (อวกาศหญิงของจีน) นายอาร์มสตรอง เพิ่งไปดวงจันทร์เมื่อเร็ว ๆนี้เอง มิใช่ช้าไปกว่าหนึ่งก้าวหรอกหรือ?

หยางเซิง : นางฟ้าเซียงหง้อ เหยียบดวงจันทร์เป็นนิทานมิใช่หรือครับ?

อรหันต์จี้กง : อากัปกิริยาที่ลอยเบา ๆ ก็เหมือนกับนักบินอวกาศมิใช่หรือ นักบินอวกาศเหยียบดวงจันทร์ หลายคนก็ว่าเป็นนิทาน แต่ความจริงมีหลักฐาน เธอดูอุณหภูมิของขั้วโลกเหนือก็ได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์แล้วมิใช่หรือมา! มาดื่มอีกจอกหนึ่ง (เหล้าจี้กง)

หยางเซิง : ขอบคุณอาจารย์ รสชาติเฉียบขาดเหลือเกิน หอมหวานทั้งชุ่มคอ ไม่มีกลิ่นเหล้าแม้แต่น้อย นับว่าเป็นของวิเศษ!

อรหันต์จี้กง : เหล้าจี้กงมีความหมายอะไร?

หยางเซิง : จี้กง หมายถึง ทุกแห่งหนเป็นกงสี (ส่วนร่วม) ไม่สามารถจะเอามาเป็นของตนเองได้ ผู้ปฏิบัติธรรมควรจะทุกข์ในฟ้าปางก่อนและมีความสุขในฟ้าปางหลัง คน ๆ หนึ่ง ถ้าเหมือนจันทร์กระจ่าง ตะวันใสส่องฟ้า ลมเย็นบริสุทธิ์แลัวละก็ สามารถที่จะผลิต “เหล้าจี้กง” เมื่อดื่มเหล้านี้สามารถต่ออายุขัย ในทางกลับกัน ถ้าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ฟ้าก็จะมืดมัวดิน พายุฝนกระหน่ำ การผลิตเหล้าในสภาพนี้คุณภาพเปลี่ยนแปลง รสชาติก็ไม่ดี เหล้านี้เรียกว่า “เหล้าส่วนตัว” ดื่มเหล้าเช่นนี้มีพิษร้ายต่อสุขภาพและชีวิต

อรหันต์จี้กง : พูดได้ดี จอกนี้ดื่มแล้วไม่เสียเปล่า เอ้า เติมอีกจอกหนึ่ง

หยางเซิง : ขอบคุณอาจารย์ อาจารย์บุญหนัก บารมีสูง มีความร่าเริง มิทราบว่าจะเต้นรำทำเพลงภายใต้แสงจันทร์นี้ได้หรือไม่ เพื่อลูกศิษย์จะได้เห็นเป็นบุญตา

อรหันต์จี้กง : ศิษย์รักช่างประจบจริง ข้า ฯ ก็จะถือโอกาสที่ดวงจันทร์กระจ่างฟ้านี้ สนุกสนานกับเจ้าสักพัก! ข้า ฯ กับกายเนื้อของเจ้ารวมเป็นหนึ่งเดียว แล้วร้องรำทำเพลงก็สามารถจัดการบันเทิงแก่ศิษย์ในสำนักได้ชมกันทั่ว ๆ ด้วย

หยางเซิง : ดีที่สุด! หากเราสนุกกันที่นี่ พวกเขาทำงานเหนื่อยกันที่นั้น รู้สึกว่าน่าละอายนิดหน่อย

อรหันต์จี้กง : ดีแล้ว ข้าฯ จะร้องพลางเต้นพลาง พวกเราฟัง

 สารทพระจันทร์

กระจ่างฟ้า

เหนือยอดหญ้า

           ยกจอกแก้ว

           หลงติดตาม

ชีวิต

           เขาเหยียดหยาม

           บนเวที

           เมื่อปลงตก

           ดูไว้

           เรื่องร้ายร้าย

           เหตุไฉน

           จะได้พ้น

           มีเหล้าดี

           ตื่นขึ้นยล

           มีใครบ้าง

           ขอชาวโลก

ข้างสระน้ำ

           มองหน้าศิษย์

           มาบัดนี้

           ดังความฝัน

           ยามพ่ายแพ้

           ไม่ผิดเพี้ยน

           ยังไม่สาย

           เรื่องดีดี

           ชอบถามหา

           ไม่ขึ้นเรือ

           ทะเลทุกข์

           เมาด้วยกัน

           ยกขันธ์ห้า

           ย้อนอดีต

           จงสุขสันต์

 ชมบัวงาม

           ร้องเรียกถาม

           ร้องโอดครวญ

           ทั้งดีทราม

           น่าเบื่อหน่าย

           เจ็บใจกาย

           รีบกลับตัว

           ไม่มากราย

           ยากหลบพ้น

           หมดทุกคน

           หมดกังวล

           หลับกมล

           กลางเสงจันทร์

           วันไหว้จันทร์

           ทุกราตรีเทอญ

 

ฮาฮ้า! เมื่อครู่เป็นระบำเร่งเร้าของ “จี้กง” ทำให้เจ้าหยางเซิงได้เหงื่อชุ่มกาย ยังไปเหยียบโดนกบเข้าตัวหนึ่งเต้นเหมือนจี้กงสักแค่ไหนนะ พวกศิษย์รู้สึกอย่างไร? (คำตอบน่าระทึกใจ ไม่เคยเป็นมาก่อน เห็นต้องให้รางวัลที่ 1 )

อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! รางวัลนี้ขอยกให้ทุกคน ข้า ฯ อยากได้ดวงจันทร์บนฟ้า เพื่อส่องประทับใจให้สะอาดหมดจด ตะเกียงใจอันนี้ดีกว่ารางวัลที่หนึ่ง!

หยางเซิง : อาจารย์เต้นรำเสร็จแล้ว ตอนนี้ทานของไปพลางคุยไปพลาง คุยเรื่องราวเกี่ยวกับ เทพ พุทธ ให้กระผมฟังได้ไหม?

อรหันต์จี้กง  : ภายใต้แสงจันทร์นี้ จะถือโอกาสเล่าเรื่อง ๆ หนึ่งให้เจ้าฟังให้สบายใจ และให้เหล่าสานุศิษย์ฟังไปพร้อม ๆกันอาตมาจะเล่าเรื่องสนุก ๆ ทุกคนจะได้ดีใจ เรื่องนี้มันคล้าย ๆ กับเรื่องราวของอาตมาด้วย คือเรื่อง “ใครเห็นก็รัก” กับ “พระสงฆ์ถุงย่าม”

     ที่อำเภอฮงห่วย เมืองเม่งจิว พระสงฆ์ถุงย่ามก็คือพระอวตารของพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์ รูปลักษณ์ก็ไม่สู้จะงามนัก ดีที่เขายิ้มแย้มตลอดเวลา เลยไม่มีใครรังเกียจเขาเลย สิ่งที่เห็นเด่นชัดของเขาคือ มีพุงที่ใหญ่โต เวลาเดินเหินก็โยกโย้ไปมา พูดจาก็เลอะ ๆ เลือนๆ ไม่แน่นอน ที่ ๆ อยู่อาศัยก็อยู่ได้ทุกหนแห่ง พื้นดินตรงไหนก็นอนได้ เขาเป็นผู้ที่ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง

     ของวิเศษประจำตัวก็มีเพียงถุงย่าม และพวงประคำเท่านั้นโดยเฉพาะถุงย่ามใบนั้น ถูกขนานนามว่า ถุงวิเศษคลุมฟ้าดิน เครื่องใช้ไม้สอยทั้งหลายก็ยึดอยู่ในถุงย่ามใบนั้นหากเรามาพิจารณาดูว่า ในถุงย่ามนั้นมีอะไรบ้าง? แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้หรอกกระมัง ยามที่เห็นชาวบ้านเขากินของอยู่ ก็จะยื่นมิไปขอ ไม่ว่าจะเป็ฯเครื่องคาวหวาน หรืออะไรก็ตาม เมื่อเขาได้รับแล้วจะกัดกินสักคำหนึ่งก่อน แลัวจึงแบ่งใส่ใว้ในถุงย่ามครึ่งหนึ่ง เมื่อถุงย่ามมีข้าวของเต็มเขาก็จะเรียกพวกเด็ก ๆ หาลานกว้าง ๆ สักที่หนึ่ง แล้วเทของในถุงย่ามนั้นออกมาให้พวกเด็ก ๆแย่งกันกิน เขาก็นั่งหัวเราะอยู่ข้าง ๆ เหมือนคนปัญญาอ่อน ดังนั้น พวกเด็ก ๆ จึงชื่นชอบเขา และเล่นกับเขาอยู่เป็นประจำ

     มีอยู่วันหนึ่งก หิมะตกจัด เขาก็นอนอยู่บนหิมะนั้นแหละ เขาเพียงไม่หนาวตาย แม้แต่หิมะก็ยังไมแตะต้องตัวเลยเพราะฉนั้น ชาวบ้านจึงพากันแปลกใจ ของที่เขาได้มาจากบิณฑบาต เขาก็กลับนำไปขายเสีย แล้วนำเงินที่ได้นั้นไปแจกจ่ายให้กับผู้ยากจน สรุปความแล้ว เขาจะไม่เหลือไว้แม้แต่สตางค์เดียว

     เขาจะแสดงให้ชาวบ้านรู้ถึงดินฟ้าอากาศ อย่างเช่นเมื่อฝนตก เขาก็จะเอารองเท้าฟางมาสวมใส่ แล้วเดินอย่างเร่งรีบ ทำราวกับว่าฝนกำลังตกหนักปานนั้น ถ้าหากว่าแดดดีฝนไม่ตก เขาก็จะใส่เกี๊ยะ (รองเท้าไม้ของจีน) สูงๆ แล้วเดินขึ้นไปบนสะพาน เสร็จแล้วนั่งขัดขานอนหลับ พอนานวันเข้าชาวบ้านล่วงรู้พฤติกรรมของเขาว่าหมายถึงอะไร พฤติกรรมของเขาก็คล้ายเป็นกรรมอุตุนิยมวิทยา

     มีอีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นพระสงฆ์รูปหนึงเดินอยู่ข้างหน้าเขาเขาก็เดินตามไปข้างหลัง พร้อมกับสะกิดที่หลังของพระสงฆ์รูปนั้น เมื่อพระสงฆ์รูปนั้นหันกลับมา เขาก็ยื่นมือไปขอเงินพระสงฆ์รูปนั้นจึงกล่าวว่า “บรรลุธรรม ให้เจ้าหนึ่งสตางค์” เขารับเงินนั้นแล้วก็เอาใส่ถุงย่าม แล้วก็เอามือทั้งสองหยั่งพื้นเอามือยืนต่างเท้า

     อีกครั้งหนึ่ง พระภิกษุ       แปะเต๊ก ได้ถามเขาว่า “อะไร คือถุงย่าม” เขาก็วางถุงย่ามนั้นลง        แปะเต๊ก ก็ถามต่อไปว่า “ข้างใต้ถุงย่ามนั้นมีอะไร” เขาก็ยกถุงย่ามขึ้นใส่หลัง แล้วเดินออกไป

     ยังมีอีกครั้งหนึ่ง พระภิกษุ       เป้าฮก ถามเขาว่า “ความหมายของพุทธธรรม คืออะไร” เขาก็จะวางถุงย่ามลงแล้วยกมือขึ้นเหนือหัว        เป้าฮก ก็ถามต่อไปอีกว่า “ทำไมเป็นเช่นนี้ มีสิ่งบอกเหนือกว่านี้มิใช่หรือ” เขาก็จะแบกถุงย่ามนั้นแล้วเดินหลีกไป

     อีกครั้งหนึ่ง เขายืนนิ่งอยู่บนถนนหนทาง มีพระรูปหนึ่งมาถามเขาว่า “พระมาทำอะไรที่นี่?” เขาตอบว่า “รอคนๆ หนึ่ง” พระองค์นั้นก็พูดว่า “มาเถอะ มาเถอะ!” เขาก็ตอบว่า “คุณไม่ใช่คนๆนั้น” พระองค์นั้นถามอีกว่า “ทำไมจึงเป็นคนนี้” เขาตอบว่า “ขอทานสักหนึ่งสตางค์ซิ!” ทั้งหมดนี้ก็เป็นการแสดงสภาวะแห่งสมาธินั้นเอง

     มีอยู่คราวหนึ่งได้จาริกไปทางเหนือ ได้เห็นคนฆ่าควายคนหนึ่ง จึงได้แสดงธรรมว่า “บรรดาสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายล้วนเป็นคนที่มีเวรกรรมมาเกิด เป็นการชดใช้หนี้กรรมกเธอทำไมไม่ปลดปล่อยชีวิตล่ะ เธอไม่กลัวกฎแห่งกรรมหรือ?” ฆ่าตน ไม่กลัวหรือ ทั้งมีดพร้า ขวาน ค้อน จะถามหา เมื่อไร หนอจะหมดเวร” 


     อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังฉันอาหารจากบ้านชาวนาแล้วจึงได้แสดงธรรมว่า

 

“ถือกล้า

           ก้มหน้า

           อายตนะ

           ถอยหลังฤา

 ปักดำ

           เห็นน้ำ

           ทั้งหก

           ที่แท้

 ทั่วผืนนา

           ส่องสู่ฟ้า

           สะอาดจ้า

           ไปข้างหน้า

     อีกครั้งหนึ่ง พระถุงย่ามดึกดื่นค่อนคืนยังนั่งอยู่บนสะพานองค์เดียว ทันใดนั้นก็มีอ้ายหัวขโมยคนหนึ่ง ยื่นหน้าเข้ามามองดูเขา ทำท่าว่าจะลงมือ พระถุงย่ามจึงยิ้มให้ พลางพูดว่า

      “ข้าฯ เป็นพระยากจน ไม่มีเงินทองเลย เธอก็ไม่น่าคิดโลภ ต้องรู้ว่าคนที่โลภมากไม่เพียงแต่มีโทษ ยังต้องเวียนมาเกิด เพื่อชดใช้กรรม” แล้วก็สั่งสอนต่อว่า

 

จากความโลภ

           เจ้าจงหยุด

           ตัดเยื่อใย

           ดวงจิตตะ

 ตกสู่

           โลภหลง

           สายสัมพันธ์

           ส่องสว่าง

 คลื่นมนุษย์

           ไหว้พุทธะ

           เสียสละ

           ในกายเจ้า

 

     มีวันหนึ่ง พระถุงย่ามอยู่กลางตลาด เห็นผู้คนชุลมุนวุ่ยวาย คงกำลังหาเงินทองและชื่อเสียงกระมัง เลยกล่าวแสดงว่า:

                       

หาเงินทอง

           ไปแต่เพียง

           รีบกลับมอง

           จนสำนึก

 ลาภยศ

           วุ่นวาย

           หน้ามารดา

           ถึงวิญญาณ

 แลชื่อเสียง

           ตกเหวลึก

           แล้วให้ตรึก

           ผู้ตรัสรู้

     มีชาวบ้านฮกเกี้ยนคนหนึ่ง เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแซ่ตั้งได้เรียนถามพระถุงย่ามว่า “พระคุณเจ้าแซ่อะไร เกิดปีอะไร ปีนี้อายุเท่าไร”

     พระถุงย่ามตอบว่า “ข้าฯ ไม่รู้ธรรม ข้าฯ แซ่ลี้ เกิดวันที่ 8 เดือนยี่ ถุงย่ามนี้กับปีแห่งความว่างเปล่า”

     คุณตั้งก็ถามต่อไปว่า “พระคุณเจ้าไปครั้งนี้ ถ้ามีคนอื่นถามก็ให้ตอบอย่างนี้ อย่ากล่าวความดีเลวของผู้อื่น”

           พระถุงย่ามกล่าวตอบว่า

 

ผิดหรือถูก

           เรื่องความอยาก

           ทำใจกว้าง

           ยิ้มเข้าไว้

           ใครวิวาท

           จดจำไว้

           หากรู้ตัว

           จักได้ชิด

รักหรือโกรธ

           คิดให้ดี

           ให้เขาหยาม

           โกรธมลาย

           เข้าไกล่เกลี่ย

           ขจัดเรื่อง

           มีสติ

           แดนนิพพาน

โลกนี้มาก

           ทำฉันใด

           ไม่เป็นไร

           ใจผ่องใส

           แล้วกันไป

           ให้พ้นจิต

           อยู่เนืองนิจ

           เป็นแน่แท้

 

     คุณตั้งก็ได้ถามต่อไปว่า “พระท่านมีชื่อท่างศาสนาหรือไม่?”

พระถุงย่ามตอบว่า

 

“ข้าฯมีถุง

           มองข้างใน

           เปิดออกมา

           เข้าถุงปิด

 อยู่หนึ่งใบ

           ว่างเปล่าจิต

           แผ่ทั่วทิศ

           เข้าถุงปิด

     คุณตั้งจึงถามต่อไปว่า “พระท่านมีเครื่องอัฐบริขารอะไรบ้าง?”

พระถุงย่ามตอบว่า

           

บาตรใบหนึ่ง

           โดดเดี่ยวนาน

           ที่ห่างไกล

           ถามแหล่งที่

 ข้าวชาวบ้าน

           ท่องหมื่นลี้

           คนน้อยดี

           ถามที่เมฆ

 

     คุณตั้งจึงกล่าวว่า “ข้าฯน้อยโง่เง่า ขอพระท่านโปรดชี้แนะว่า ทำอย่างไรจึงจะได้พบพุทธจิต”

           พระถุงย่ามตอบว่า

 

ใจอันนี้

           มีอิสระ

           น่าสงสาร

           ทุกสิ่งนา

 ใจนี่นี้

           สิ่งศักดิ์สิทธิ์

           ที่ไม่รู้

           ไม่สู้

 คือพุทธะ

           ในโลกา

           อนิจจา

           จิตแท้จริง

 

     คุณตั้งจึถามต่อไปว่า “ไปครั้งนี้จะพำนักที่วัด หรือ ที่บ้านคน”

พระถุงย่ามตอบว่า

                       

ข้าฯมี

           ในเมฆา

           ไม่สูง

           ไม่มีแม้น

           ผู้ฝึก

           ไม่แนบแน่น

           ผู้รู้

           เก่าแก่มาก

           สี่ทวาร

           ของแท้แท้

           ประชาชน

           ต่างรีบเร่

 รัตนตรัย

           อันว่างเปล่า

           แลไม่ต่ำ

           ที่กำบัง

           กายไม่มั่น

           แม้อ้อนวอน

           รู้จัดแจง

           ไม่ปราณีต

           เกิดผลสี่

           อย่าสงสัย

           ทั่วทุกทิศ

           เข้าเคารพ

 ทรงคุณค่า

           ไร้เขตแดน

           ไม่ราบแบน

           ให้ข้องขัด

           ไร้แบบแผน

           เรียนได้ยาก

           เอาแยกจาก

           ไม่สุขุม

           เป็นของแม่

           ใจไขว้เขว

           ไม่หันเห

           สักการะ

     ภายหลังคุณตั้งฟังจบแล้วก็พนมมือไหว้ กล่าวขอบคุณว่าหากพระคุณเจ้ายอมอยู่เสียที่นี่ ข้าฯ น้อยจักได้เคารพสักการะ

ในคืนวันนั้น พระถุงย่ามก็ได้เขียนหนังสือไว้หน้าประตูว่า

 

ข้าฯมี

           ชาวโลกคง

           มิใช่ปูน

           ก็ไม่เด่น

            แม้จักวาด

           ไม่เคยเห็น

           รูปลักษณ์

           ถึงจักใช่

พุทธรูป

           ไม่รู้จัก

           มิใช่ไม้

           ไม่มีสี

           วาดไม่เสร็จ

           จักขโมย

           ธรรมชาติ

           เพียงกายเนื้อ

อยู่องค์หนึ่ง

           ยังเป็นเป็น

           มิเคยเห็น

           จักแต่งแต้ม

           แม้วาดเป็น

           ได้อย่างไร

           ขาวสดใส

           แปลงเป็นหลาย

 

     พระถุงย่ามพำนักที่ซีเม้งซัว ในเมืองเจียมกัง มีความสนิทสนมกับเจียงจงปา ร่วมกันร่วมสนทนากันเป็นประจำ พระถุงย่ามก็สอนให้เขาสวดมนต์ มหาวัชระปรมิตหฤทัยสูตร ได้สอนพระสูตรนี้เป็นประจำ จนกระทั่งมีผู้ขนานนามนายเจียงว่า พระมหาฯ

     มีอยู่วันหนึ่ง เขาได้เป็นเพื่อนอาบน้ำกับพระถุงย่ามที่ลำคลอง (ชื่อคลองเซี่ยงเต๊ง) พระถุงย่ามสั่งให้นายเจียงถูหลังให้ ทันใดนั้นเขาก็เห็นมีดวงตาสี่ตาที่หลังของพระถุงย่ามและก็มีรัศมีเปล่งออกมาด้วย ทำให้พระมหาฯ ตกใจกลัวจึงรีบทรุดตัวลงกราบพระถุงย่าม พลางกล่าวว่า “ภิกษุพุทธะ” พระถุงย่ามก็กำชับว่าไม่ให้แพร่งพรายให้ใครรู้ แล้วพูดกับมหาเจียงว่า “ข้าฯ กับเจ้าร่วมอยู่ร่วมกินกันมา 3-4 ปีนับได้ว่ามีบุญวาสนามากอยู่ ข้าฯ จะอยู่อีกไม่นานแล้วเจ้าก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้” ต่อมาอีกไม่กี่วันก็ได้ไปยังบ้านของมหาเจียง แล้วกล่าวกับเขาว่า “เธอต้องการร่ำรวยไหม มหาเจียงตอบว่า “ความร่ำรวยอยู่ยืนยาวได้ อย่างไร ขอเพียงให้ลูกหลานอยู่ยืนยาวก็พอแล้ว” พระถุงย่ามก็หยิบถุงออกมาใบหนึ่ง ภายในถุงก็มีถุงเล็กๆ อยู่อีกจำนวนมากกับเส้นเชือกอีกหนึ่งลัง ให้กับมหาเจียงแล้วกล่าวว่า “ข้าฯให้สิ่งนี้ไว้เป็นของที่ระลึกสำหรับเรื่องภายหลังเจ้า” มหาเจียงก็รับไว้แต่ไม่ทราบว่าความหมาย ผ่านไปอีกสองวันพระถุงย่ามก็พูดกับมหาเจียงว่า “เธอเข้าใจความหมายหรือยัง” มหาเจียงตอบว่า “ศิษย์ไม่เข้าใจ” พระถุงย่ามพูดว่า “เธอต้องการบุตรหลานเหมือนของที่อยู่ในถุง หมายความว่า บุตรหลานของเธอจะยืนยาวต่อไปทีละชั่วโคตร ก็เหมือนที่ข้าฯ มอบถุงเล็กๆ จำนวนมากไงเล่า”

     พระถุงย่ามอยู่ในรัชสมัยพระเจ้าเจ็งเม้งที่ 2 ปีเปี้ยจื้อวันที่ 3 เดือนสาม ได้พูดกับชาวยบ้านว่า “วันนี้ในปีหน้า อาตมาจะนำผลแห่งพระศรีอาริยเมตไตรยมาเลี้ยงทุกคน” พอรุ่งขี้นอีกปี ในปีเต็งทิ้ว วันที่สามเดือนสาม ณ วัดคูลิ้ม ท่านมรณภาพโดยนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์อยู่บนลานหิน ชาวบ้านจึงรู้คำที่ท่านได้พูดไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว

     ในสมัยที่พระถุงย่ามยังไม่มรณภาพ ผู้ใหญ่บ้านซี้เม้งไมศรัทธาในพุทธศาสนา กล่าวหาว่าพระถุงย่ามบ้าๆ บวมๆ ไม่รู้เรื่องอะไร พอพบหน้าพระถุงย่ามก็กล่าวเสียดสี แถมยังแย่งถุงย่ามซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่ท่านมีอยู่ เอาไปจุดไฟเผาแต่พอรุ่งขึ้นเขาก็ยังพบถุงย่ามใบเก่านั้นอีก เขาก็แย่างเอาไปเผาไฟอี รุ่งเช้าก็พบอีก ก็ยังแย่งไปเผาอีกเป็นครั้งที่สามรุ่งขี้นถุงย่ามก็ยังคงอยู่ ในที่สุดผู้ใหญ่บ้านก็ตกใจกลัว มิกล้าทำอีก พอได้ข่าวว่าพระถุงย่ามมรณภาพ ผู้ใหญ่บ้านก็เตรียมหีบศพชนิดหนาพเศษ แต่ปรากฎว่าประชาชนจำนวนมากไม่สามารถจะเคลื่อนหีบศพนั้นได้เลย แล้วก็มีนักปฏิบัติธรรมถือมังสวิรัติคนหนึ่ง ชื่อ ท้ง ซึ่งนับถือพระถุงย่ามมาก เขาเข้าไปยกหีบศพ เ พียงคนไม่กีคนหีบศพนั้นก็เบาดั่งขนนก ผู้คนเห็นเข้าต่างแปลกใจ จึงได้ร่วมใจกันสร้างเจดีย์ไว้บรรจุศพ

     ที่มณฑลฮกเกี้ยน อำเภอซิ่วชั้ง นายเฮ้งหยิ้งหู ได้พบกับพระถุงย่ามที่วัดเทียนเฮง เมืองกังหน้ำ ต่อมาที่เมืองฮกจิวก็มีข้าราชการคนหนึ่งได้พบพระถุงย่าม ตอนพบหน้ากับพระถุงย่าม นำซองจดหมายรูปวงกลมซองหนึ่งจากภายในอกบอกเอาให้คุณเฮ้ง แล้วสั่งว่า

      “ถ้าหากภายในเจ็ดวัน ข้าฯ ไม่มา ก็ให้เปิดจดหมายออกอ่านดู” นายเฮ้งก็รับคำ พอหลังจากนั้นเจ็ดวัน ก็ยังไม่เห็นมาก็นำจดหมายมาเปิดดู ก็พบคำสี่คำ คือ

 

“ศรีอริย-

           อวตารได้

           สอนคนบ่อย

           แต่ชาวบ้าน

 เมตไตรย

           นับล้านล้าน

           นานเท่านาน

           ไม่รู้จัก”

     พอมาถึงตอนนี้ ผู้คนจึงได้รู้ว่า พระถุงย่ามที่มีอากัปกิริยาบ๊องๆ ที่แท้ก็คือพระอวตารของพระศรีอาริยเมตไตรย

     หลังการมรณภาพพระถุงย่ามได้ 10 ปีที่เมืองเจียบกังมีพระมหาเถรรูปหนึ่ง ใชพนักงานคนหนึ่งให้ไปทำธุระที่ไกลระหว่างทางกลับมาถึงสะพานข้ามเหว ก็ได้พบกับพระถุงย่าม พระถุงย่ามก็บอกกับพนักงานนั้นว่า “เมื่อเธอกลับไปพบกับท่านมหาเจียงแห่งซีเม้งซัว ให้เขาโปรดถนอมตัวให้ดี ๆแล้วจะได้พบกัน” ในขณะนั้นท่านมหาเจียงได้อาศัยอยู่บนยอดเขาปลูกกระท่อมไว้อยู่ เลี้ยงสุนัขสีเหลืองไว้ตัวหนึ่ง ถ้าพบว่าข้าวสารหมดแล้วก็จะเอาเงินร้อยอีแปะห้อยคอสุนัขไว้ ให้มันมาซื้อข้าวสารที่เมืองตงโง้ว ไป-กลับยี่สิบกิโล ไม่เคยผิดพลาด

     เมื่อพนักงานกลับจากธุระทางไกล ก็นำเอาคำพูดของพระถุงย่ามไปบอกแก่ท่านมหาเจียง ท่านมหาเจียงว่า “ข้าฯ รู้แล้ว” แล้วก็รีบหุงหาอาหารเจเลี้ยงพนักงานคนนั้น ภายหลังอาหาร ท่านมหาก็อาบน้ำแล้วนั่งสมาธิมรณภาพ

     พระศรีอาริยเมตไตรย เป็นพระเมตตาจิต เป็นผู้ที่มีความอดทน ยอมแก่ผู้อื่น ดังนั้นพระอวตารของพระศรีอาริเมตไตรย คือพระถุงย่าม ยิ้มอยู่เสมอ คุณด่าเขา เขาไม่ด่าตอบ ตีเขาเขาไม่ตีตอบ เจริญรอยตามมหาเมตตา โดยการอดทนต่อการเสียดสีว่า

 มีผู้ด่าว่าอ้ายแก่

           มีผู้ตีอ้ายแก่

           ถ่มน้ำลายใส่หน้า

           ข้าฯก็ไม่เปลืองแรง

           ปรมิตาแบบนี้

           หากได้รู้แบบนี้

 อ้ายแก่ว่าดี

           อ้ายแก่ก็ล้มลงนอน

           ก็ปล่อยให้แห้งเอง

           เขาก็ไม่กังวล

           ทรงคุณค่ายิ่งนัก

           จะทุกข์ไปไย

     ด้วยเหตุนี้ พุงที่ใหญ่จึงรวบรวมทุกอย่างได้หมด ดังนั้นทุกคนที่เห็นจึงยินดีจนตราบเท่าทุกวันนี้ หากเธอมีเรื่องเต็มอกคิดจนเวียนหัวก็ให้วิ่งเข้าวัด ดูรอยยิ้มของพระศรีฯ ก็จะทำให้เธอลดความกเครียดไปได้เยอะทีเดียว เอ้อ พอแล้ว นิทานเรื่องนี้จบลงแล้ว เจ้าหยางเซิงก็ฟังจนไม่กระดิก รู้สึกอย่างไรบ้าง?

หยางเซิง : พิสดาร! พระถุงย่าม พระศรีอาริยเมตไตรย กับพระอรหันต์จี้กง มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง “อย่างกับพี่กับน้อง”เลย! วิปัสสนา-สมาธิ ก่อนก็ว่างหลังก็ว่าง ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองมีความสัมพันธ์กันฉันใด

อรหันต์จี้กง : เออ เอ่อ ! พระศรีอาริยเมตไตรย จุติใหม่ในงานมหากัลปพฤกษ์ ทุกแห่งหนมีแต่พุทธะ สรรพสัตว์จะปีติยินดีพอถึงตอนนั้น อาตมาก็จุติลงมาร่วมงานรื่นเริงด้วย ช่วยกันถ่อเรือเมตตาให้เห็นประจักษ์สักครา! คอยให้ถึงเวลาเถอะ

     เอาละ เวลาก็ดึกแล้ว ดวงจันทร์เห็นเราคุยกันไม่จบเลยชักปักหลักไม่ถอย จำหลักอยู่กลางนภาไม่เคลื่อน เรารีบกลับสำนักกันเถอะ!

     ฮาฮ้า! นั่งอยู่บนอาสน์แดนศักดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางจันทร์กระจ่างฟ้า หวนคิดถึงวันเวลาที่บรรดาดวงดาวล้อมเดือนเนื่องจากพลังจิตที่เสียสละเพื่อโปรดผู้คนมากมายนี้ จึงได้ผลสำเร็จในวันนี้ เพื่อทอดสมอเรือเมตตาไว้ที่นี่ จงขยันเพื่อโปรดรับผู้คนกันเถิด!

หยางเซิง :  ขอบพระคุณที่อาจารย์พามาชมจันทร์ที่นี่ เป็นการฉลองสารทไหว้พระจันทร์ แถมยังมีคนกินมากมายที่หามิได้ยังมีเรื่องราวที่มีรสชาติไม่น้อย

อรหันต์จี้กง : วันนี้อาจารย์มอบของขวัญวันสารทพระจันทร์ให้เจ้า รีบๆ กลับเถอะ.....สำนักเซี้ยเต็กตึ้งถึงแล้วหยางเซิงลงจากบัวอาสน์ วิญญาณกลับเข้าร่าง


ยอดยอดยอด ยอดกลางยอด

แปลกแปลกแปลก แปลกกลางแปลก อริโยวาทโพธิสัตว์กวนอิม

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago

เหตุที่ดอกฟ้ารักยาจก

ที่เมืองไทเป นาง ก. เป็นบุตรีสาวของเศรษฐี เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว บิดามารดารักนางเสมือนดวงใ...

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago
น้ำพริกแห้ง

น้ำพริกแห้ง

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

เส้นทางอริยะ ตอนที่แปด

1654918052.jpg
mindcyber
1 month ago

พ้นโทษเพราะแมลงวัน

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago