เสียมารยาทไร้มารยาท คุณธรรมลึกล้ำ
มีธรรมะไร้ธรรมะ จิตต้องแยกแยะ
อรหันต์จี้กง เสด็จลงประทับทรง วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2526
กลอนนำเสด็จ
ปฏิบัติธรรมถือ ความซื่อสัตย์มีมารยาท
ดุจสายฝนโปรยสาด ทั่วปฐพีชื่นฉ่ำ
สูงศักดิ์แลต้อยต่ำ ย้ำในกฎแห่งครองธรรม
ทุกแห่งหนน้อมนำ เชิดชูแซ่ซ้องสรรเสริญ
อรหันต์จี้กง : ในคุณธรรมแปด มีข้อธรรมว่า “มารยาท”(คำว่า “มารยาท” ในภาษาจีนยังหมายถึง คารวะ ของขวัญ สินบน) มีความสำคัญมาก ในสมัยนี้เรื่องที่ไร้มารยาท มีมากเหลือล้น คดีที่เกี่ยวกับไม่มีมารยาทเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เมื่อรักษาข้อธรรม “มารยาท"” นี้ไม่ได้ ครองธรรมห้าก็ยุ่งเหยิงชาวจีนพูดถึงมารยาทและสัจจะ แม้มีมารยาทหากไร้สัจจะก็คือ ไร้มารยาทนั่นเอง การไร้มารยาทก็เป็นพืชพันธุ์บาปกรรม พวกเธอในใจมีความคิดเกี่ยวกับไร้มารยาทหรือไม่ในดวงตาชอบดูสิ่งไร้มารยาทหรือไม่ เท้าชอบไปในที่ไร้มารยาทหรือไม่ มือและตัวชอบทำหรือถือสิ่งไร้มารยาทหรือไม่หูชอบฟังสิ่งไร้มารยาทหรือไม่ ในปากชอบพูดสิ่งไร้มารยาทหรือไม่ ท่านขงจื้อว่า “สิ่งไร้มารยาทไม่พูด สิ่งไร้มารยาทไม่ดู สิ่งไร้มารยาทประพฤติไปถึงไหนแล้ว เหมือนยาสมุนไพรที่ใช้บำรุงร่างกาย ถ้าใช้มากไปก็จะเกิดเป็นพิษแก่ ตา หู ปาก และกายได้ นอกจากสิ่งไร้มารยาททั้ง 4 ประการนี้แล้ว ข้าฯขอเพิ่มอีกข้อหนึ่ง “สิ่งไร้มารยาทไม่คิด” หากทำสิ่งไร้มารยาททั้งห้าประการนี้ย่อมหมายถึง ครองธรรมห้า หมดสิ้น หยางเซิงเตรียมขึ้นบนอาสน์ เตรียมตัวแต่งหนังสือ
หยางเซิง : กระผมนั่งบนบัวอาสน์เรียบร้อยแล้ว มิทราบคืนนี้อาจารย์กับกระผมไปที่ไหน?
อรหันต์จี้กง : ข้าฯ เห็นเจ้าหมู่นี้ดูเหมือนเหนื่อย
หยางเซิง :ขอรับ เพราะตระเตรียมงานก่อสร้างสำนักบ่อเก๊กจึงต้องวิ่งเต้นไปมา อีกต้องการความก้าวหน้า จึงต้องอ่านหนังสือบ้าง จึงทำให้เหน็ดเหนื่อย
อรหันต์จี้กง : เหน็ดเหนื่อยเพราะสร้างสำนัก ข้าฯ เห็นใจอ่านหนังสือเพื่อความก้าวหน้าเป็นสิ่งดี สมคำที่ว่า “อยู่จนแก่ เรียนจนแก่” สักวันหนึ่งถ้าไม่เดิน ย่อมล้มลงแน่ เออ เอ่อ! เราไปเที่ยวเมืองนรกกันเถอะ
หนางเซิง : วันนี้ อาจารย์พากระผมมาทางนรก เห็นคนมากมายที่แดนต่อแดนระหว่างโลกมนุษย์กับนรก อากาศค่อนข้างร้อน เหล่าวิญญาณถูกยมทูตขาว- ดำ จับลงมา แต่ละคนมีเหงื่อเต็มหน้าไปหมด
อรหันต์จี้กง : ตอนนี้พอดีฤดูร้อน ศพของผูตายจึงขึ้นอืดเร็ววิญญาณผีจึงมีเหงื่อท่วมตัว ถ้าหากลงไปในนรกจริงๆ แล้วถูกความมืดเย็นครอบคลุม อุณหภูมิจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงโดยออโตเมติก
หยางเซิง : อ๋อ อย่างนั้นเอง ข้างหน้ามีผู้วายชนม์คนหนึ่ง กำลังถูกยมทูตขาว-ดำคุมตัวมากำลังจ้องมองมายังเรา สายตาวิงวอนเหมือนกับจะมีเรื่องพูดกับเราอย่างนั้น
อรหันต์จี้กง : ข้าฯ เห็นทะลุ ถึงเรื่องราวโดยตลอด วิญญาณตนนี้กำลังรอคอยให้เราช่วยเหลือ
หยางเซิง : เขารู้ว่าอาจารย์มีบารมีจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไร
อรหันต์จี้กง : ข้าฯ เป็นผู้ออกบวชอยู่ในพุทธภูมิ พุทธรังสีแผ่กระจาย เขาเห็นสภาพเช่นนี้เหมือนเห็นตะวันในความมืดเขาย่อมคิดว่า ข้าฯ เป็นพระผู้มาโปรด
หยางเซิง : ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ก็โปรดเมตตา ช่วยเขาสักครั้งเถิด
อรหันต์จี้กง : รอให้ข้าฯ ถามไถ่เขาก่อน
ยมทูตขาว-ดำ : ท่านอรหันต์ ทำไมจึงขวางทางไปของเราละ
อรหันต์จี้กง : เพราะข้าฯ ไม่รู้ทางไปเมืองนรก จึงอยากจะถามไถ่ทางวิญญาณผีตนนี้
วิญญาณผี : ท่านอรหันต์โปรดอย่าล้อเลียนกระผมเลย กระผมเห็นท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูง ทำไมจึงจะมาถามทางกระผมเล่าขอรับ
อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! ข้าฯ รู้แต่ทางไปสวรรค์ ไม่รู้ทางไปนรกว่าจะเดินอย่างไร ข้าฯ รู้ว่าเจ้ามีความชำนาญทาง ดังนั้น ข้าฯ จึงได้ถามทางจากเจ้า
ยมทูตขาว-ดำ : ท่านอรหันต์จะถามทางคนตาบอดเสียแล้วเขาเป็นเพียงวิญญาณบาป
วิญญาณผี : เมื่อครู่นี้ ท่านอรหันต์ใช้คำพูดแทงใจดำกระผมโปรดอย่าซ้ำเติมเลย โปรดเมตตาช่วยด้วย
อรหันต์จี้กง : ขอให้ช่วยนะได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน
วิญญาณผี : ตอนนี้ผมมามือเปล่า ในโลกมนุษย์ชาวบ้านเขาได้เงินทองแก่กระผมไว้เยอะ ตอนนี้แดงเดียวก็นำมาไม่ได้ ท่านสามารถเอาจากลูกหลานของกระผมได้ในเมืองมนุษย์ ขอเพียงให้เขารู้ว่า กระผมกำลังได้รับความทุกข์ในเมืองนรก คิดว่าคงยอมใช้เงินเพื่อปลดโทษเป็นแน่แท้
อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า! พูดเล่นหรอก จะเอาเงินไปทำไม ถ้าหากข้าฯ โลภเงิน ก็คงเดินเส้นทางเดียวกับเจ้าแล้วซิ ก็ไม่ต้องมาถามทางไปนรกจากเจ้าแล้ว แต่ตอนนี้เราพูดได้ว่า พวกเราอยู่ในเส้นทางเดียวกันได้ ขอถามหน่อยว่า ทำไมเจว้าจึงเลือกเดินเส้นทางนี้
วิญญาณผี : เอ้อ! พูดแล้วอาย เมื่อก่อนนี้กระผมเป็นผู้มีอำนาจเป็ข้าราชการชั้นสูง แต่เพราะเห็นแก่ได้ จึงสูญเสียความสัจจะ เรื่องที่ผ่านมือของกระผม มักจะถูกดองเอาไว้ไม่ผ่าน จะร่วมมือกับพวกพ่อค้า ซื้อของเข้าในราคาที่สูกว่าความเป็นจริงดังคำพูดที่ว่า “เลือดเนื้อประชาชน” มักถูกพ่อค้าพาไปเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นประจำ สนุกสนานกับเหล้ายาปลาปิ้ง ไม่มีใจคิดทำเพื่อประชาชนสักนิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ เล่นแง่กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ได้เงินทองมามากมาย จนกระทั่งอายุได้ 52 ปี เนื่องจากมักมากในสุรา-นารีในที่สุดก็เป็นกามโรค ทุกข์ทรมานยิ่งนัก จึงตายจากโลกมนุษย์พอวิญญาณละร่างเท่านั้น ความทุกข์เพิ่มทวี เนื่องจากยมทูตหน้าขาว-ดำ ตามล่า ยังกับถอนหัวผักกาด จับวิญญาณกระผมมาลงนรก รู้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า ผิดศีลธรรมมากมาย พอมาถึงนรก ย่อมมีโทษมหันต์ ดังนั้น จึงวิงวอนท่านอรหันต์โปรดเมตตาช่วยเหลือ พระคุณยิ่งใหญ่จะไม่มีวันลืม
อรหันต์จี้กง : “เคราะห์และโชคไม่มีมา ตนเองเป็นผู้สรรหา” โทษเจ้าหนักหน่วง ชั่วชีวิตโลภมากเหลือเกิน เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนสูญเสียต่อส่วนรวม คิดแตะจะให้คนอื่นเขาคิดสินบนจึงจะสามารถผ่านด่านได้ สินบนนี้เรียกว่า “ไร้มารยาท”ถ้าหากเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติงานด้วยความซื่อตรงก็จะได้บุญกุศล ควรยึดถือ “สิ่งไร้มารยาทไม่รับ” แต่เจ้ากลับยึอถือ “ไม่มีสินบนไม่สำเร็จ” เป็นการสูญเสียเกียรติศักดิ์ของข้าราชการ ผิดกฎหมายประเทศ โทศถึงตายสภาพเดียวจะให้ช่วยเหลือได้อย่างไร โชคดีที่เจ้ายอมเล่าถึงความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว เป็นการตักเตือนผู้คน ข้าฯ จะจดไว้เป็นกุศลส่วนหนึ่ง เมื่อเจ้ารับโทษถึงนรกขุมที่ 10 แล้ว ยมบาลก็จะได้ตัดสินความโดยอาศัยกุศลส่วนนี้ประกอบการพิจารณา
วิญญาณผี : กราบขอบพระคุณ ท่านอรหันต์จี้กงที่ทรงกรุณา
หยางเซิง : เขานับว่าเป็นผู้มีโชคดี ระหว่างทางได้พบกับอรหันต์เจ้า
อรหันต์จี้กง : วันนี้พอเท่านี้ก่อน หยางเซิงขึ้นบัวอาสน์ เราเตรียมตัวกลับสำนัก
หยางเซิง : ขอรับกระผม!
อรหันต์จี้กง : สำนักเซี้ยเต็กตึ้ง ถึงแล้ว หยางเซิงลงจากบัวอาสน์ วิญญาณกลับเข้าร่าง