หงไฉ่ลี่เจี่ยงซือ
ข้าพเจ้า “หงไฉ่ลี่” ละกายสังขารเมื่ออายุ ๖๒ ปี รับวิถีธรรมเมื่ออายุ ๑๒ ปี ตั้งพุทธสถานในครัวเรือนเมื่ออายุ ๓๒ ปีพออายุ ๓๗ ปี ได้เป็นเจี่ยงเอวี๋ยนผู้ฝึกหัดบรรยาย เป็นเจี่ยงซืออาจารย์บรรยายธรรมเมื่ออายุ ๔๐ ปี อายุ ๖๒ ปีจึงละกายสังขารได้ตั้งพุทธสถานในครัวเรือนเป็นเวลา ๙ ปีแล้ว จำได้ว่าตอนที่มีอายุ ๔๗ ปี ได้ติดตามนักธรรมอาวุโสไปปฏิบัติแพร่ธรรม ขับรถจักรยานยนต์แล้วถูกรถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเข้า ถูกชนอย่างน่าเวทนามาก เตี่ยนฉวนซือที่ไปด้วยกันแค่บาดเจ็บเล็กน้อย ใบหน้าของข้าพเจ้าเองจึงมีร่องรอยของแผลเป็นใหญ่ขาขาดใช้การไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลเยียวยารักษาอยู่ปีกว่า แต่ใบหน้าก็ไม่อาจกลับเป็นเหมือนก่อนได้ ยังคงมีแผลเป็นใหญ่อยู่ เวลาเดินก็ไม่สะดวกในใจก็คิดว่า ข้าพเจ้าเองซึ่งมีศรัทธาขนาดนี้ ปฎิบัติแพร่ธรรมเพื่อเบื้องบน เดินทางไปทั่วสารทิศ แต่กลับต้องมาประสบเหตุการณ์นี้ใบหน้าต้องมีแผลเป็นขนาดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงหายหน้าหายตาไป ไม่กล้าไปบรรยายธรรม ไม่ว่านักธรรมอาวุโสจะบอกเตือนขนาดไหนข้าพเจ้าก็ได้แต่หลบเลี่ยง เพราะว่าทั้งมือทั้งเท้ายังใช้การได้ไม่คล่องจึงไม่กล้าเจอะเจอเผชิญหน้ากับคนอื่นนักธรรมอาวุโสก็กระวนกระวายใจต่อเรื่องนี้มาก พวกท่านกลัวว่าจะเป็นการทดสอบจนบุคลากรคนหนึ่งอย่างข้าพเจ้าร่วงหลุดไป จึงได้ไปสอบถามสืบข่าวข้าพเจ้าจากผู้อื่น
ในการประชุมธรรมครั้งหนึ่ง พระบรรพพุทธาแห่งทะเลใต้(พระโพธิสัตว์กวนอิม) ได้เมตตาประทับทรง เตี่ยนฉวนซือจึงขอให้พระองค์โปรดเมตตา โดยได้ถามพระองค์ถึงเหตุต้นผลกรรมของข้าพเจ้า ได้ถามว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ได้ พระองค์ได้กล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะมีอยู่สองชาติได้เกิดเป็นคนอเมริกัน เที่ยวรังแกระรานคนอื่นไปทั่วฆ่าคนตายไปไม่น้อย แต่ในยุคท้ายปลายกัปนี้ก็ยังโชคดีได้เกิดกายเป็นคน และเกิดในเกาะวิเศษไต้หวันด้วยจึงได้รับรู้มหาธรรม ประจวบโอกาสเป็นปีคิดบัญชีอย่างชัดเจนหกหมื่นกว่าปีมา มีแค่ชาตินี้ชีวิตนี้ที่ได้บำเพ็ญธรรม จึงจะลบล้างมลายหนี้เวรกรรมจากชาติก่อนๆ หน้าได้”
เบื้องบนจึงได้เมตตาให้เกิดเหตุรถชนกันในครั้งนี้ เพื่อให้หนี้เวรกรรมสามชาติของข้าพเจ้าได้มลายหมดสิ้นในคราวเดียวจึงทำให้เสียโฉม จึงมาเอาขาของข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจึงพิการขาขาดหนึ่งข้าง และไม่กล้าที่จะเดินไปยังที่ไหนๆ รวมทั้งไม่กล้าไปบรรยายธรรมด้วย จากนั้นเป็นต้นมาจึงสูญเสียความมั่นใจในตนเอง ผิดต่อปณิธานใหญ่ที่ได้ตั้งเอาไว้ ทุกๆ วัน ก็จะเก็บตัวอยู่ที่บ้าน ดูแลจัดการเรื่องทางโลก และเลี้ยงดูลูกๆ เท่านั้น เมื่อสามีเห็นข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้ จึงทุกข์ใจเศร้าใจเป็นอย่างมาก ด้วยว่าทำไมจึงเกิดเหตุร้ายนี้ขึ้นกับข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ที่บ้านก็ตั้งพุทธสถาน และข้าพเจ้าเองก็ยังไปบรรยายธรรมทุกแห่งหนเขาจึงได้สูญสิ้นศรัทธาที่เคยมีต่อเบื้องบนและวงการธรรม กลายเป็นคนท้อแท้ ข้าพเจ้าเองก็เป็นไปตามสามีด้วย ข้าพเจ้าไม่กล้าไปเจอะเจอกับญาติธรรมทั้งหลาย เมื่อผ่านไปนานวันเข้า พุทธสถานกลายเป็นว่านานๆ จึงจะทำความสะอาดสักครั้ง และก็ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเท่าไรนัก รวมทั้งนานๆ ครั้งจึงจะถ่ายทอดธรรมสักครั้งหนึ่ง
มีเตี่ยนฉวนซือมาที่บ้านของข้าพเจ้า สามีของข้าพเจ้าจึงพูดไปด้วยอารมณ์โมโหว่า “ภรรยาของฉันจะไม่กราบไหว้อีกแล้วจะไม่เอาพุทธสถานแล้ว พวกคุณมาเก็บกลับไปเสียเถอะ” เตี่ยนฉวนซือก็ได้ส่งเสริมให้กำลังใจหลายครั้งหลายคำ แต่สามีของข้าพเจ้าก็ไม่ยอมรับฟังคำพูดเหล่านั้น เป็นเพราะข้าพเจ้าเดินเหินไม่สะดวก แล้วยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ การกระทำของสามีข้าพเจ้าเช่นนี้ ทำให้เตี่ยนฉวนซือกลัวว่าจะทำให้สามีของข้าพเจ้าหลุดร่วงไปอีกคน เพราะเขาเป็นคนนิสัยแข็งกร้าว ระเบิดอารมณ์บ่อยๆถึงบอกถึงเตือนก็ไม่รับฟัง ทำได้แต่เพียงเก็บพุทธสถาน จะได้ไม่ต้องรบกวนให้พระแม่องค์ธรรมประทับอยู่ ณ ที่นั้น จะได้ไม่ต้องรบกวนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และศิษย์พี่องค์ประธานสอบสามโลกต้องมาตรวจตราชั้นประชุมเสมอๆ เสียแรงที่ข้าพเจ้ารับวิถีธรรมตั้งแต่แรกๆ ไปปฏิบัติแพร่ธรรมฉุดช่วยผู้คนทุกหนแห่ง แค่วันนี้วันเดียวก็ทำลายไปเสียหมดสิ้น
ข้าพเจ้าละกายสังขารเมื่ออายุ ๖๒ ปี ถึงแม้ว่าจะรักษาปณิธานกินเจได้ตลอด แต่การเก็บพุทธสถานนั้น ผิดบาปยากที่จะให้อภัยได้ พระอาจารย์เมตตานำพาข้าพเจ้าไปยังด่านจื่อหยัง และด่านจิ่วหยังกวน เพื่อให้บำเพ็ญขัดเกลาให้ดี เพื่อกำจัดใจโลกีย์ทิ้งไปให้ได้ แล้วจึงค่อยไปยัง “สถานบำเพ็ญขัดเกลา”ข้าพเจ้าบำเพ็ญขัดเกลาด้วยความจริงใจอยู่หลายปี จึงปรากฏจิตเมตตากรุณาขึ้น ดังนั้นใครที่ตั้งพุทธสถานแล้วเก็บไปไม่กราบไหว้อีกแล้วนั้น บาปหนักมาก จึงต้องสำนึกขมาด้วยความจริงใจให้ดีๆ
ขอให้เตี่ยนฉวนซือเมตตาสงสาร ขอให้พระอาจารย์เมตตาเพื่อให้ข้าพเจ้าได้ออกมาช่วยงานธรรมในเร็ววัน ข้าพเจ้ารู้ว่าผิดพลาดไปแล้ว ทุกสิ่งอย่างมันสายเกินการณ์ ข้าพเจ้าขอเตือนเจี่ยงซือถันจู่ทั้งหลายว่า เมื่อเบื้องบนเมตตาปัดเป่าช่วยเหลือให้พวกเราได้ลบล้างมลายบาปหนี้เวรกรรมจากหลายๆ ชาติก่อนแล้ว พวกเราจะต้องสำนึกพระคุณของเบื้องบน และบารมีคุณพระอาจารย์ แม้ว่าตัวเราเองอาจต้องสูญเสียแขนขา หรือมีแผล เป็นใหญ่บนใบหน้า ก็อย่าได้โทษฟ้าด่าคนแต่ยิ่งจะต้องศรัทธาจริงใจ เพื่อตอบแทนในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของเบื้องบนและยังคงต้องออกมา สร้างบุญสะสมคุณธรรมอีก ยกระดับความเชื่อมั่นศรัทธา ก้าวเดินไปในมหาธรรมสว่างไสวนี้ต่อเนื่องไป อย่าได้เป็นเหมือนกับข้าพเจ้า ที่เมื่อประสบกับเหตุร้ายครั้งนั้น แล้วก็ไม่กล้าที่จะออกมาช่วยงานธรรมะอีก ในวันนี้เตี่ยนฉวนซือเมตตาให้ข้าพเจ้าได้พูดออกมา ข้าพเจ้าจึงได้บอกเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อเตือนใจให้ทุกท่านได้ฟังกัน