ครั้งที่ 3 ไฉ้เซิงเที่ยวชมสภาพแวดล้อมในแดนสุขาวดี พระโพธิสัตว์อธิบายวิธีสวดภาวนาพุทธนามแบบสิบจบ

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 2 วันที่ 15 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2527)

พระพุทธจี้กง  ประทับทิพยญาณ

ปกโปรด กล่อมเกลา ฉุดช่วย เวไนย ครั้งใหญ่

ผูกบุญ กว้างไกล ได้คน คุณภาพ หัวกะทิ

หลวนเหมิน ประกาศธรรม โน้มนำ คนหลง ดึงสติ

สอนให้ เป็นคนดี สงเคราะห์ให้ พ้นอบาย

 

พุทธจี้กง : นับตั้งแต่ธรรมกาลยุคท้ายมานี้  วิธีปกโปรดกล่อมเกลาของหลวนเหมินสามารถฉุดช่วยผู้มีบุญสัมพันธ์ได้กว้างไกล  ทำให้สาธุชนคนดีได้มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ  ทำให้คนที่ไม่ดีสามารถกลับตัวเป็นคนดี  การขัดเกลาทางสังคมประเภทนี้ทำให้คนที่หลงผิดสามารถกลับตัวใหม่ได้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่  ช่วยลดปัญหาสังคมได้ไม่น้อย

ไฉ้เซิง : ปัญหาทางสังคมที่พระอาจารย์พูดถึง หมายถึงอะไรครับ ?

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ในสังคมทุกวันนี้มีแต่การฆ่า ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม การโกหกหลอกลวง การเสพสิ่งมึนเมา เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย สาเหตุของปัญหาก็เป็นเพราะว่าจิตใจของแต่ละคนไร้ที่ยึดเหนี่ยว  สมมติว่ามีหญิงชราที่โดดเดี่ยวทุกข์ยากไร้ที่พึ่งพิงอยู่คนหนึ่ง  ในยามปกติหญิงชราคนนี้ก็ได้รับการขัดเกลาทางสังคม  และอันที่จริงเดิมทีแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องได้รับการสงเคราะห์ช่วยเหลือจากผู้อื่น  เพราะอะไรถึงพูดอย่างนี้ ?  ก็เพราะจริงๆแล้วหญิงชราคนนี้มีลูกชาย  ควรได้รับการเลี้ยงดูจากลูกชาย  แต่เป็นเพราะรากบุญของลูกชายไม่หยั่งลึก  ไม่สามารถทนต่อสิ่งยั่วยุทางด้านวัตถุได้  อีกทั้งไม่ได้รับการขัดเกลาทางสังคม  ดังนั้นจึงใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสารไปวันๆ   วันๆไม่ได้ทำงานการอะไร  ได้แต่กิน ดื่ม เที่ยวเล่น เสพสุข  ชอบหาเรื่องทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท สภาพเหตุการณ์เช่นนี้  ไม่เพียงสร้างปัญหาให้กับครอบครัวเท่านั้น  แต่ยังกลายเป็นปัญหาของสังคมด้วย  จากเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า  การใช้หลักธรรมคำสอนมาขัดเกลาสังคมเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วน  เพราะอะไรล่ะ ?  ก็เพราะว่าถ้าหากลูกเกเรคนนี้สามารถได้รับการกล่อมเกลาจากหนังสือธรรมะตั้งแต่อายุยังน้อย  เขาก็จะก้าวไปสู่หนทางที่ดี  เพราะอย่างนี้จึงทำให้ปัญหาในครอบครัวและปัญหาทางสังคมได้รับการแก้ไขไปโดยปริยาย

ไฉ้เซิง : ที่พระอาจารย์พูดมานั้นถูกต้องมีเหตุผล  คิดไม่ถึงเลยว่าการนำหลักธรรมคำสอนไปปกโปรดกล่อมเกลา ไม่เพียงทำให้จิตใจพ้นทุกข์  ยังมีผลดีเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวและสังคมเป็นอย่างยิ่ง

พุทธจี้กง : วันนี้เราสองคนจะนำสิ่งดีๆที่ดียิ่งกว่ามาบอกต่อกับชาวโลก ให้ชาวโลกได้รู้กัน

ไฉ้เซิง : สิ่งดีๆที่ดียิ่งกว่า  คืออะไรหรือครับ ?

พุทธจี้กง : ก็คือการสวดพุทธนามของพระอมิตาภพุทธเจ้าไงล่ะ !

ไฉ้เซิง : อ๋อ ! ใช่แล้ว  ใช่ไหมว่าตอนนี้เรากำลังจะเดินทางไปแดนสุขาวดีกัน ?

พุทธจี้กง : ย่อมเป็นเช่นนั้น

ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พุทธจี้กง : ข้างหน้านั่นมีพระโพธิสัตว์มารับเจ้าแล้ว  เจ้าก็ตามท่านไปเถอะ  อาจารย์ยังมีธุระอื่นต้องไปทำ  เดี๋ยวอาจารย์ขอตัวไปทำธุระที่อื่นก่อน

ไฉ้เซิง : ครับ

(ตอนนี้ไฉ้เซิงกราบลาพระพุทธจี้กง  จากนั้นคุกเข่ากราบคารวะพระโพธิสัตว์แล้วจึงตามพระโพธิสัตว์ไป)

โพธิสัตว์ : เมธี ! ถึงแดนสุขาวดีแล้ว

ไฉ้เซิง : ขอถามท่านพระโพธิสัตว์  อากาศที่นี่อบอุ่นกำลังดี  ไม่หนาวไม่ร้อน  ใช่ไหมว่าตอนนี้ที่นี่กำลังเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ?

โพธิสัตว์ : ไม่ใช่หรอกเมธี  สี่ฤดูของที่นี่เหมือนดั่งฤดูใบไม้ผลิ  ดังนั้นอากาศของที่นี่จึงอบอุ่นกำลังดี  ไม่หนาวไม่ร้อนจนเกินไป และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลง

(ไฉ้เซิงได้ยินพระโพธิสัตว์พูดเช่นนี้ก็รู้สึกฉงนสงสัยเป็นอันมาก แต่ก็อดชื่นชมไม่ได้)

ไฉ้เซิง : ช่างดีจริงๆ  ถ้าสภาพอากาศไม่มีเปลี่ยนแปลง  อย่างนี้ก็ไม่ต้องเป็นไข้หวัด  แล้วก็ไม่ต้องไปหาหมอด้วย

โพธิสัตว์ : ที่นี่ไม่มีโรงพยาบาลหรอก

ไฉ้เซิง : ไม่มีโรงพยาบาล  งั้นเวลาเจ็บป่วยจะทำอย่างไร ?

โพธิสัตว์ : เจ้าวางใจเถอะ  เพราะทุกคนที่มาเกิดในแดนสุขาวดีจะไม่มีใครเจ็บป่วยเลย

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?

โพธิสัตว์ : เพราะว่าทุกคนที่มาเกิดในแดนสุขาวดี ล้วนเกิดแบบโอปปาติกะโดยถือกำเนิดจากภายในดอกบัว ซึ่งไม่เหมือนกับเวไนยในสหาโลกธาตุที่เกิดออกมาจากรกในครรภ์ของแม่  แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น  ที่นี่คือแดนวิสุทธิภูมิ  หากลองคิดดูก็จะรู้ว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่มีความวิสุทธิ์สะอาดเพียงใด  ดังนั้นจึงไม่มีเชื้อโรคส่งผลกระทบต่อร่างกาย  แล้วก็ไม่มีเรื่องการเกิดโรคติดต่อด้วย

ไฉ้เซิง : ที่พูดมาก็ถูกเนอะ  สภาพแวดล้อมของที่นี่ช่างดีจริงๆ ราวกับภาพวาดที่งดงาม สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ ฮ่าๆ ! ถ้าหากผู้น้อยวาดภาพเป็น และสามารถวาดภาพทิวทัศน์ให้ออกมาเหมือนของจริงได้ ก็จะเอาสภาพแวดล้อม ทัศนียภาพต่างๆของที่นี่วาดออกมาให้เป็นภาพเสมือนจริง เชื่อว่าจะต้องเป็นภาพทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด  แต่น่าเสียดายที่ผู้น้อยวาดภาพไม่เป็น  ได้แต่ขีดๆเขียนๆเล่นไปตามประสาเท่านั้น

โพธิสัตว์ : ฮ่าๆ !  เมธีช่างไร้เดียงสานัก  ถ้าหากเจ้าอยากวาดภาพ  งั้นเดี๋ยวเราพาเจ้าไปชมดูแต่ละที่ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าเจ้าจะวาดอย่างไร

(ตอนนี้พระโพธิสัตว์ได้พาไฉ้เซิงนั่งบัลลังก์บัวเที่ยวชมทิวทัศน์ของแดนสุขาวดี  ไฉ้เซิงมองเห็นดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความงดงามตระการตา มากมายหลากหลายจนกล่าวชื่นชมออกมาไม่หยุดปาก)

ไฉ้เซิง : โอ้โห ! ช่างวิเศษจริงๆ  ถ้าหากเอาเขาหยางหมิงซันกับทะเลสาบเฉิงชิงและทะเลสาบสุริยันจันทรามาเปรียบเทียบกับทัศนียภาพในแดนสุขาวดีแล้ว  ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว  ฮ่าๆ ! คนร่ำรวยสูงศักดิ์ในโลกมนุษย์มีเงินสามารถเที่ยวรอบโลกได้  เราเป็นเพียงลูกหลานประชาชนคนจนที่ไม่มีเงิน  แต่สามารถเที่ยวรอบแดนสุขาวดีได้

โพธิสัตว์ : งั้นเจ้าชอบท่องเที่ยวโลกมนุษย์หรือแดนสุขาวดีล่ะ ?

ไฉ้เซิง : ย่อมต้องเป็นแดนสุขาวดีอยู่แล้วครับ

โพธิสัตว์ : เที่ยวแดนสุขาวดีมีดีอย่างไรรึ ?

ไฉ้เซิง : อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องขึ้นโดยสารเครื่องบินหรือเรือ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรถหรือเดินด้วยเท้า  ไม่ต้องเมาเรือ เพราะการเมาเรือเป็นอะไรที่รู้สึกแย่มากๆ

โพธิสัตว์ : เมธี ! นี่คือความโชคดีของเจ้า  เจ้าจึงสามารถได้มาท่องเที่ยวที่นี่

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรหรือครับ ?

โพธิสัตว์ : เพราะถ้าหากไม่ใช่ว่าเจ้าได้รับพระโองการให้มาประพันธ์หนังสือ  เจ้าก็ไม่สามารถมาถึงแดนสุขาวดีได้

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?

โพธิสัตว์ : เพราะว่าเจ้าไม่ได้สวดพุทธนามของพระอมิตาภพุทธเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถอาศัยพุทธานุภาพของพระอมิตาภพุทธเจ้าชักนำให้เจ้ามาที่นี่ได้

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยละอายใจนัก  ผู้น้อยยุ่งอยู่กับอริยกิจงานธรรมจนไม่มีเวลาว่างเลย  จึงทำให้ไม่มีเวลาสวดพุทธนาม  ขอพระโพธิสัตว์โปรดให้อภัยด้วย

โพธิสัตว์ : จะสวดพุทธนามหรือไม่ คือปัญหาเรื่องเกิดตายของตัวเอง  ขอให้พระโพธิสัตว์ยกโทษให้จะมีประโยชน์อะไร  เจ้าทำงานจนไม่มีเวลาว่าง  งั้นเจ้าใช้เวลาตอนรุ่งเช้าหลังจากที่ล้างหน้า แปรงฟัน บ้วนปากเสร็จแล้ว  สวดพุทธนามแบบสิบจบก็ได้

ไฉ้เซิง : การสวดพุทธนามแบบสิบจบคืออย่างไรครับ ?

โพธิสัตว์ : การสวดพุทธนามแบบสิบจบ เป็นวิธีการสวดพุทธนามที่สะดวกและเหมาะสำหรับคนที่ทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาว่างโดยเฉพาะ

ไฉ้เซิง : ต้องสวดอย่างไรครับ ?

โพธิสัตว์ : ก็คือในช่วงระหว่างหนึ่งลมหายใจให้สวดพุทธนามว่า “นาโม อาหมีถัวฝอ” รวดเดียวสิบคำ  สิบลมหายใจก็จะสวด “นาโม อาหมีถัวฝอ” ได้ 100 คำ  นี่ก็คือวิธีการสวดพุทธนามแบบสิบจบ  คนที่ทำงานยุ่งมากๆ  ขอเพียงช่วงเช้าทำจิตใจให้สงบ  หันหน้าไปทางพระพุทธรูป  หรือถ้าหากไม่มีพระพุทธรูปก็ให้หันหน้าไปทางทิศตะวันตก  ประนมมือ  สวดพุทธนามด้วยจิตศรัทธาจริงใจ  จิตไม่คิดฟุ้งซ่าน  เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า  บุญกุศลที่ได้จากการสวดพุทธนามนั้นก็ไม่อาจประมาณได้  ตอนที่วาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง  ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถได้มาเกิดในบัวชั้นบน  แต่ก็สามารถได้มาเกิดในบัวชั้นกลาง  หรืออาจจะได้มาเกิดในบัวชั้นล่าง  เมื่อเวลาผ่านไป 7 วัน  หรืออาจจะ 49 วัน  บัวก็จะบาน สามารถได้พบพระโพธิสัตว์แสดงธรรมให้ฟัง

ไฉ้เซิง : วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกจริงๆ

โพธิสัตว์ : แต่ว่าคนที่ดำเนินปฏิบัติวิธีสวดพุทธนามแบบสิบจบจะต้องมีจิตใจที่ยืนหยัดแน่วแน่มั่นคงตลอดไปตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต  จะละเลิกกลางครันไม่ได้  เพราะถ้าละเลิกกลางครันก็จะไม่สามารถได้รับการโปรดฉุดช่วยจากพระพุทธะโพธิสัตว์ให้มาเกิดยังแดนสุขาวดีได้  แล้วความพยายามที่ทุ่มเทลงไปก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นโมฆะสูญเปล่าไป  ยังมีอีกเรื่องคือหลังจากที่สวดพุทธนามเสร็จแล้ว ต่อจากนั้นจะต้องสวดบทอุทิศด้วย

ไฉ้เซิง : บทอุทิศต้องสวดอย่างไรครับ ?

โพธิสัตว์ : วิธีสวดบทอุทิศให้สวดดังนี้

願生西方淨土中 เอวี้ยน เซิง ซี ฟัง จิ้ง ถู่ จง 

(ขอเกิดแดน ประจิมทิศ วิสุทธิภูมิ สุขาวดี)

九品蓮花為父母 จิ๋ว ผิ่น เหลียน ฮวา เหวย ฟู่ หมู่ 

(มีดอกบัว เก้าระดับชั้น เป็นพ่อแม่ ให้กำเนิด)

花開見佛悟無生 ฮวา ไค เจี้ยน ฝอ อู้ อู๋ เซิง 

(เมื่อบัวบาน พบพุทธะ ได้ตื่นแจ้ง พ้นการเกิด)

不退菩薩為伴侶 ปู๋ ทุ่ย ผู ซ่า เหวย ปั้น หลวี่*

(มีโพธิสัตว์ ผู้ไม่เกิดความถดถอย เป็นสหาย)

(*เมื่อผู้อ่านเห็นคำว่า “หลวี่” เชื่อว่าหลายท่านคงอ่านไม่ออก เนื่องจากข้อจำกัดด้านภาษาทำให้ไม่สามารถเขียนคำๆนี้โดยการเทียบเสียงภาษาจีนออกมาเป็นอักษรไทยให้ทุกท่านอ่านออกได้ สำหรับวิธีการอ่านออกเสียงคำว่า “หลวี่” นั้น  ขอให้ท่านผู้อ่านทดลองทำตามคำแนะนำของผู้แปลดังนี้  ก่อนอื่นให้ท่านลองพูดคำว่า “หลู่” ก่อน เมื่อพูดคำว่า “หลู่” แล้ว ขอให้ท่านค้างปากไว้ที่ท่าเดิมอย่าเพิ่งขยับปาก  ต่อไปวิธีพูดคำว่า “หลวี่” คือให้ท่านพูดคำว่า “หลี่” จากปากจู๋ๆแบบตอนที่ท่านพูดคำว่า “หลู่” โดยไม่ต้องฉีกปาก สรุปคือทำปากจู๋แล้วพูดคำว่า “หลี่” จะได้คำว่า “หลวี่”)

ไฉ้เซิง : พระโพธิสัตว์โปรดเมตตาอธิบายความหมายของบทอุทิศให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ครับ ?

โพธิสัตว์ : ได้สิ “เอวี้ยนเซิงซีฟังจิ้งถู่จง” หมายความว่า ข้าพเจ้าสวดพุทธนามด้วยความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือได้ไปเกิดในแดนวิสุทธิภูมิทิศตะวันตก “จิ๋วผิ่นเหลียนฮวาเหวยฟู่หมู่” บัวเก้าระดับชั้น คือขั้นแห่งการบรรลุผลซึ่งแบ่งเป็นเก้าระดับ เพราะว่าคนที่สวดพุทธนามมีระดับฝีมือความสามารถในการบำเพ็ญเพียรสวดท่องตื้นลึกแตกต่างกัน  ถ้าฝีมือความสามารถในการบำเพ็ญเพียรสวดท่องอยู่ในระดับสูง  พระพุทธะโพธิสัตว์ก็จะลงไปรับที่โลกมนุษย์ด้วยตัวเอง  โดยนำวัชรอาสน์ไปรับแล้วพามาเกิดที่แดนสุขาวดี  ถ้าหากฝีมือการสวดอยู่ในระดับตื้นเขิน พระพุทธะโพธิสัตว์ก็จะส่งนิรมาณกายลงไปรับขึ้นอาสนบัลลังก์เงินมาเกิดที่แดนสุขาวดี  ทุกคนที่มาเกิดในแดนสุขาวดีล้วนเกิดแบบโอปปาติกะโดยถือกำเนิดจากดอกบัว  ดังนั้นดอกบัวก็คือพ่อแม่ที่ให้กำเนิดในแดนสุขาวดี “ฮวาไคเจี้ยนฝออู้อู๋เซิง” ก็คือเมื่อดอกบัวบานแล้ว  ผู้ที่เกิดออกมาจากบัวชั้นบนระดับบน  บัวชั้นบนระดับกลาง  บัวชั้นบนระดับล่าง  และบัวชั้นกลางระดับบน  ก็จะสามารถได้พบพระอมิตาภพุทธเจ้าแสดงธรรมให้พวกเขาฟัง  หลังจากที่พวกเขาได้สดับฟังธรรมจากพระอมิตาภพุทธเจ้าแล้วก็จะค่อยๆตื่นแจ้ง  หลังจากที่ตื่นแจ้งแล้วก็จะสามารถเข้าใจกระจ่างแจ้งในหลักธรรมที่ไม่เกิดไม่ตาย  และสามารถที่จะอยู่ในแดนวิสุทธิภูมินี้ตลอดไปชั่วนิรันดร์  “ปู๋ทุ่ยผูซ่าเหวยปั้นหลวี่” ก็ในเมื่อได้อยู่ในแดนวิสุทธิภูมินี้ตลอดไปชั่วนิรันดร์  ก็สามารถได้เป็นเพื่อนกับโพธิสัตว์จำนวนมากมายซึ่งเป็นผู้ไม่ถดถอยในธรรม

ไฉ้เซิง : ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

(พระโพธิสัตว์สั่งสอนชี้แนะไฉ้เซิงถึงตรงนี้ พระพุทธจี้กงก็มารับไฉ้เซิงพอดี)

พุทธจี้กง : เอาล่ะ ! วันนี้ได้เวลาแล้ว พวกเรารีบกลับเถอะ ! ครั้งหน้าค่อยมาใหม่ ไฉ้เซิง ! เจ้ารีบคุกเข่ากราบลาพระโพธิสัตว์สิ

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบลาพระโพธิสัตว์  ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ชี้แนะ วันนี้ผู้น้อยได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์มากมายเลย  แต่เป็นเพราะเวลาจำกัด  ครั้งหน้าค่อยมาขอคำชี้แนะใหม่

พุทธจี้กง : ไฉ้เซิงรีบขึ้นบัลลังก์บัวเร็วเข้า พวกเรากลับกันได้แล้ว

ไฉ้เซิง : ไม่อยากจะจากที่นี่ไปเลยจริงๆ แต่จะไม่กลับไปก็ไม่ได้

(ไฉ้เซิงบ่นพึมพำกับตัวเอง  แต่ก็ไม่อาจที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระอาจารย์ได้  เมื่อนั่งบนบัลลังก์บัวแล้ว ทันใดนั้น เห็นแสงสว่างเพียงวับเดียว พระพุทธจี้กงกับไฉ้เซิงก็มาโผล่ที่หน้าสำนักเซิ่งเทียนถังแล้ว)

พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว  ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง


ผลของการคบเพื่อนไม่เลือก

นาย ก. มีลูกเมียแล้ว แต่ไม่ยอมทำงานทำการ ชอบไปมั่วสุมกับเพื่อน เที่ยวอบายมุขต่าง ๆ จนติดเป...

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

พระพุทธเจ้า ศรีอาริยเมตไตรย

1654918052.jpg
mindcyber
1 month ago

ปากช่างดีร้าย

เทพยดา เมฆขาว

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ (อ่านว่า /พฺระ-กะ-สิ-ติ-คัน-โพ-ทิ-สัด/, สันสกฤต: क्षितिगर्भ; Kṣitigarbha; กฺษิติครฺภ)

พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ (อ่านว่า /พฺระ-กะ-สิ-ติ-คัน-โพ-ทิ-สัด/, สันสกฤต...

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

วงเวียนกรรมของสัตว์โลก ครั้งที่7

หลอกทรัพย์ลืมหนี้หนีทางไกล กลับชาติเกิดเป็นวัวควายใช้กรรมหนัก

1654918052.jpg
mindcyber
3 months ago