“มีชีวิตอยู่กังวลไปหมด เปิดใจให้กว้าง”
องค์ชายสามนาจาแห่งฟ้าทักษิณ เสด็จลงประทับทรง กลอนว่า
เที่ยวเมืองตายโหงมีมุ่งหมาย
เพื่อทอดถ่ายสภาพจริงตักเตือนไว้
มีความหมายอันลึกซึ้งหวังเข้าใจ
ขจัดไปที่เป็นโรคให้ร่มเย็น
อาจารย์ : คืนนี้เที่ยวเมืองตายโหงต่อ ถ่ายทอดสภาพจริงเพื่อประโยชน์ ให้ผู้คนในโลกได้เข้าใจถึงสภาพเมืองตายโหงว่าเป็นอย่างไร ประทานแพรฟ้าป้องกันตัว....หลับตาเสีย ออกเดินทาง
หยงปี่ : ครับผม....เรียนถามอาจารย์ เมื่อครั้งก่อนเราเที่ยวถึงลานกว้างที่เรียกว่าลานพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน คืนนี้จะมีจุดหมายที่ไหนครับ
อาจารย์ : มีสำนวน “วิตกจริต” เจ้าเคยอ่านพบไหม
หยงปี่ : ศิษย์ทราบครับ ในสมัยโบราณมีชายคนหนึ่งอยู่ดีกินดีแต่วัน ๆ เอาแต่วิตกเป็นทุกข์ว่าฟ้าจะถล่มลงมา พอพบหน้าใครก็เอาแต่พูดเรื่องนี้ ต่อมาภายหลัง ก็มักใช้กับคนที่ใจคอยหวั่นวิตกต่อเรื่องต่าง ๆ ว่า “วิตกจริต”
อาจารย์ : ความรู้ดี ถ้างั้นเจ้ารู้ว่าคนที่มีใจเป็นโรค “วิตกจริต” มีสภาพเป็นอย่างไรหรือ
หยงปี่ : อันนี้....ศิษย์ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยกระจ่าง แต่ว่าจะให้คาดเดาก็เห็นจะเป็นพวกที่กินได้แต่ไม่รู้รสชาติ นอนก็ไม่หลับ ใช่ไหม
อาจารย์ : อันนั้นเป็นผลโดยตรงของมัน แต่ยังมีผลอย่างอื่นอีกแยะสามารถที่จะให้คนได้ฟังได้อ่านกันไม่หลง เจ้าลองเดาดูก็ได้
หยงปี่ : อื้อ! คนพวกนี้คงประสาทไม่ค่อยดี ศิษย์สมองตื้นคิดไม่ออกครับ ขอให้อาจารย์บอกจะดีกว่ากระมัง
อาจารย์ : อย่างนั้นเจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน
หยงปี่ : ก็ดีเหมือนกัน.....โอ้ อาจารย์ แถวนี้ทำไมมีทัศนียภาพที่งดงามอย่างนี้ มีธารน้ำไหลวกวน มีสะพานที่ซิกแซกไปมามีภูเขาและศาลาพักร้อน เสียงนกร้อง กลิ่นอบอวลจากดอกไม้ ทิวทัศน์สวยงามจริง ๆ หากแต่คนที่อยู่ที่นี่ ทำไมไม่รู้จักเสพสุขกับธรรมชาติอันสงบร่มเย็น กลับถือร่มกางอยู่ แดดก็ไม่มี ฝนก็ไม่ตก บางคนก็หลบอยู่ใต้ม้าหิน คนที่เดินบนถนนก็ลุกลี้ลุกลนเหมือนลิง เดินไปข้างหน้าสองก้าวแต่กลับถอยหลังสามก้าว แถมยังยกมือป้องหน้า แหงนหน้ามองฟ้า เสร็จแล้วก็วิ่งพรวดเข้าไปอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ อาจารย์ครับพวกนี้เขากลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมาอย่างนั้นใช่ไหม
อาจารย์ : ผิดแล้ว เจ้ารีบสร้างความเห็น ตั้งแต่สมัยโบราณมามีคนแค่คนเดียวเท่านั้นที่คิดว่าฟ้าจะถล่มลงมา พวกเขามิใช่กลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมาหรอก
หยงปี่ : ถ้าอย่างนั้น ทำไมกางร่ม หลบเข้าใต้ม้าหิน มุดอยู่ในถ้ำ แล้วแหงนหน้ามองฟ้าละครับ
อาจารย์ : เป็นการกระทำชนิดหนึ่งของสัญญา (ความจำได้หมายรู้) คนเราไม่ค่อยกลัวอะไร ที่กลัวที่สุดคือมีผีอยู่ในใจ ใจกับผีก็คือความละอายใจ คนพวกนี้มักมีความละอายใจ ภายหลังจึงเกิดการระแวงขึ้นทำให้เกิดอาการต่าง ๆ บางคนก็น่าหัวเราะ
หยงปี่ : หากเป็นเช่นนี้ อาจารย์เอาคำว่า “วิตกจริต” มาใช้แทนความหมายอะไรกับคนที่อยู่ในเมืองตายโหง เป็นสถานที่อะไรมีความหมายอะไร
อาจารย์ : ความหมายว่า “วิตกจริต” คือพวกที่วิตกในเรื่องที่ไม่ควรวิตก เจ้ารู้ไหมว่าคนแบบนั้นในที่สุดตายอย่างไร
หยงปี่ : อันนี้ง่าย เราคงกลัวตาย
อาจารย์ : ถูกแล้ว เขาหวั่นว่าฟ้าจะถล่มลงมา สภาพเช่นนี้หาไม่หมดไป จิตใจและประสาทจะเสื่อม พูดฟังง่าย ๆ คือ “กลัวตาย” และคนที่ถูกขังอยู่ที่นี่มิใช่เพราะกลัวฟ้าจะถล่มลงมาหรอก แต่เพราะมีสาเหตุต่าง ๆ กันมา แต่ก็มาถึงที่กลัวตาย สมมติว่า คนที่อยู่ดี ๆ เขาก็คิดไปว่าสักวันหนึ่งคงถูกรถชนตาย แต่ละวันก็เอาแต่เป็นห่วงวิตก ต่อมาภายหลังกินไม่ลงจนดูไม่เหมือนคน มีบางคนที่ถูกเขายืมเงินไปก็กลัวแต่ว่าเขาจะล้มหนี้ ก็เริ่มวิตกกังวลเป็นทุกข์ มีบางคนไม่มีจิตใจก็เริ่มวิตกเป็นทุกข์ เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อเกิดหนักขึ้น ๆ เจ้าว่าไหมว่ามันเหมือนพวก “วิตกจริต”
หยงปี่ : มีเหตุผลดี แล้วสถานที่นี้ล่ะครับ
อาจารย์ : ที่นี่มีความหมายแทนว่า ตักเตือนชาวโลกให้ทำใจให้ว่าง สมมติว่าคนที่วิตกว่าฟ้าจะถล่มลงมา ถ้าถล่มลงจริง ๆ คนที่ถูกทับก่อนก็คือคนที่สูงกว่า เขาจึงเป็นห่วงกังวล ด้วยเหตุนี้จึงเกิดตายโหง ทางเมืองตายโหงจึงต้องมุ่งไปที่ผู้ที่สูญเสียเพื่อแก้ไขให้ถูกต้อง นี่ก็คือความหมายของสถานที่นี่แหละ
หยงปี่ : บทนี้น่าสนใจ คราวหน้าค่อยดูกันต่อ เรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี ้คำถามคือมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ จุดประสงค์คือต้องการตักเตือนชาวโลก สิ่งที่ใจจดจ่อควรอยู่ที่เรื่องสำคัญ จะได้ไม่กลายเป็นกลุ่มคนผู้วิตกจริต
อาจารย์ : พูดได้ดี คืนนี้ก็ได้บทหนึ่ง อาจารย์จะส่งเจ้ากลับสถานธรรม หลับตา.....ถึงแล้ว ข้ากลับละ