ใจเป็นบ่อเกิดของสัพวิธี สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต้องศึกษาต้องลงมือทำให้มาก ก็ย่อมจะได้รบผลลัพธ์ที่ดี
1.) ความปราดเปรื่องของใจ
รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี วาจาจริงเท็จ เข้าใจในเจตนาว่าดีหรือเลว รู้เรื่องราวความเป็นมาว่าจริงหรือปลอม
2.) ความกระจ่างของใจ
เข้าใจถึงความละเอียดอ่อน ความปราณีตที่ปรากฏ
3.) ความรอบคอบของใจ
มองแล้วคิดพิจารณาให้ชัดเจน ฟังแล้วคิดใคร่ครวญ และไตร่ตรองอย่างชาญฉลาด สีหน้าต้องแสดงออกถึงความอ่อนโยนลักษณะท่าทางดูน่าเคารพนบนอบ กล่าววาจาจะต้องนึกถึงความสัตย์ภักดี กระทำเรื่องราวใด ๆ ต้องคิดถึงการให้เกียรติ เมื่อมีข้อสงสัยต้องพิจารณาไต่ถามเมื่อมีความโกรธให้นึกถึงเคราะห์ภัยที่จะตามมา จะรับสิ่งใดให้คิดถึงคุณธรรม ความถูกต้อง
4.) ความระมัดระวังของใจ
มีบุญคุณต้องคิดตอบแทน มีความแค้นต้องคิด แก้ไขผันแปร ทุกเวลาต้องตื่นตัวรักษาศีล เห็นอกเห็นใจอภัยเมื่อพบความยากลำบากลำเค็ญ
5.) ความหวาดกลัวของใจ
เมื่อพบความราบรื่นก็ต้องยอมรับ เมื่อพบอุปสรรคก็ให้ปล่อยวาง สิ่งที่ถูกต้องก็ให้เข้าหา สิ่งที่ผิดก็ให้ถอยห่าง ให้คิดหน้า คิดหลัง
6.) ความหวั่นเกรงของใจ
รู้จักหวั่นเกรงโองการบัญชา รู้จักหวั่นเกรงมหาบุรุษ รู้จักหวั่นเกรงในวาจาของอริยะชน รู้จักหวั่นเกรงใจของทุรชน รู้จักหวั่นเกรงใจเลือดเนื้อ รู้จักหวั่นเกรงใจความโลเลของใจ
7.) ความกล้าหาญของใจ
พลีชีพเพื่อสัจธรรมและชีวิตเพื่อรักษาสัจธรรม กล้าทำอย่างอาจหาญในเรื่องที่ชอบธรรม ชีวิตระเหเร่ร่อนลำบากยากแค้น แสดงออกซึ่งความเข้มแข็ง
8.) คุณธรรมของใจ
เห็นอกเห็นใจ รู้จักกัน เข้าใจในความหวังดีและเจตนาดีของผู้อื่น เข้าใจหลักทำนองคลองธรรมที่แท้จริง ทุ่มเทกำลังจนถึงที่สุด ออกความคิดความสามารถ ทางสติปัญญา มีใจกล้าที่ชอบธรรม เปิดใจมีน้ำใสใจจริง
9.) การผันแปรของใจ
ลับใจให้คม อ่อนให้แข็ง โง่เขลาให้ฉลาด สามารถคาดคะเนจิตใจได้ พิจารณาจิตใจได้
10.)การเพาะเลี้ยงของใจ
เบิกปรีชาญาณ พยุงค้ำความอ่อนแอ เสริมจิตใจให้แข็งแกร่ง เพิ่มพูนความรู้ อ่อนโยนสมานฉันท์ ทำงานสำเร็จลุล่วงด้วย ดี