ครั้งที่ 2 ไฉ้เซิงได้เห็นความวิจิตรตระการตาของแดนสุขาวดีเป็นครั้งแรก และได้ทดลองเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัว

2024-09-15 08:11:50 - mindcyber

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 2  วันที่ 5  ค.ศ.1984  (ตรงกับวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2527) พระพุทธจี้กง  ประทับทิพยญาณ

เซิ่งเทียนถัง มีใจกว้าง สามารถรับ ผู้ร่วมงาน ที่มีใจ

ฉุดช่วยคน ให้กว้างไกล จิตใจต้อง รองรับได้ ดั่งห้วงน้ำ

จะพ้นความ ปุถุชน ตัดอารมณ์ และนิสัย ทางโลกได้ จึงก้าวข้าม

ต่างฝ่ายต่าง ก็จะต้อง พยายาม ไถนาธรรม ของตนเอง

 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ตั้งแต่เปิดสำนักธรรมเป็นต้นมา  ศิษย์ทั้งหลายต่างวุ่นอยู่กับงานธรรม  ความมุ่งมั่นและความศรัทธาจริงใจนี้ทำให้เซียนพุทธะทั้งหลายต่างชื่นชม  ในช่วงนี้ศิษย์ทั้งหลายต่างก็ได้ประสบกับความเหนื่อยยากกันมาอย่างโชกโชน  นี่ก็คือฟ้าเบื้องบนได้มอบภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่มาฝึกฝนหล่อหลอมเซิ่งเทียนถัง

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดถูก  เมื่อปรารถนาจะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ  ถ้าหากไม่มีจิตใจที่มั่นคงยืนหยัด  มุ่งมั่นไม่ย่อท้อ  ก็ยากที่จะทำภารกิจนั้นให้สำเร็จลุล่วงได้  ในเมื่อวันนี้สำนักธรรมของเราได้รับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่จากฟ้าเบื้องบน  ผู้ร่วมบำเพ็ญทุกคนในสำนักก็จะต้องทุ่มเทกันอย่างสุดกายสุดใจสุดกำลังความสามารถ  ร่วมกันพากเพียรต่อสู้ฟันฝ่าให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง

พุทธจี้กง : งั้นศิษย์ทุกคนในสำนักเซิ่งเทียนถังก็ต้องเหนื่อยหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าที่แบกรับภาระใหญ่ จะต้องผ่านการทดสอบในแต่ละขั้นๆ

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์ !  คืนนี้พระอาจารย์จะพาศิษย์ไปจาริกแสวงธรรมที่แดนสุขาวดีใช่ไหมครับ ?

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! นี่เจ้ารอจนทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วเหรอ ?

ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ !  แน่นอนสิครับ  ได้ไปเที่ยวชมทัศนียภาพของแดนสุขาวดีให้เห็นเป็นประจักษ์กับตา  อย่างไรก็ต้องดีกว่าเที่ยวชมทัศนียภาพของโลกมนุษย์อยู่แล้ว

พุทธจี้กง : เอาล่ะ !  เจ้านั่งบัลลังก์บัวให้ดี  เราสองคนออกเดินทางกันเถอะ

ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทาง

พุทธจี้กง : เบื้องหน้านั่นพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อมาตอนรับพวกเราแล้ว ศิษย์เรา ! เจ้ารีบเข้าไปกราบคารวะเร็ว

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี  วันนี้ท่านพุทธจี้กงและไฉ้เซิงมาถึงแดนสุขาวดีเพื่อทำการสัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลในแดนวิสุทธิภูมิอันศักดิ์สิทธิ์และวิจิตรตระการตาแห่งนี้ด้วยตัวเอง ช่างเป็นโอกาสที่ประจวบเหมาะจริงๆ  นั่นเพราะตั้งแต่ช่วงธรรมกาลยุคท้ายเป็นต้นมา เวไนยมีจิตใจที่เขลาหลง  มีกัมมาวรณ์หนัก  (กัมมาวรณ์ คือ กรรมอันเป็นเครื่องกีดกั้นไม่ให้เข้าถึงธรรม) มีเพียงธรรมวิถีแห่งการสวดท่องพุทธนามที่สามารถปกแผ่ฉุดช่วยรากบุญทั้ง 3 ระดับ ไม่ว่าคนสมองทื่อปัญญาทึบหรือคนที่มีสติปัญญาฉับไว ก็สามารถได้รับการปกโปรดฉุดช่วยอย่างเสมอภาคกัน ดังนั้นคนที่รู้จักสวดพุทธนามล้วนเป็นคนที่ซื่อๆ มีความจริงใจ มีกุศลมูลเป็นที่ตั้ง

ไฉ้เซิง : ที่พระโพธิสัตว์กล่าวมานั้นถูกต้องที่สุด  ดังนั้นวันนี้ผู้น้อยจึงได้รับพระโองการให้ประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดี  ได้มาจาริกศึกษาธรรมที่แดนสุขาวดี รู้สึกโชคดีเป็นอย่างยิ่ง  ขอพระโพธิสัตว์ได้โปรดชี้แนะผู้น้อยให้มากๆหน่อย

โพธิสัตว์ : ได้สิ !  แดนสุขาวดี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แดนวิสุทธิภูมิ”  ที่เรียกว่าแดนวิสุทธิภูมิก็เพราะว่าแดนพุทธเกษตรของพวกเรามีความบริสุทธิ์สง่างาม  วิสุทธิ์ประเสริฐอย่างที่สุด  ทุกคนในพุทธเกษตรของพวกเราล้วนเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัว  วันนี้เมธีอยากจะลองเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัวดูบ้างไหมล่ะ ?

ไฉ้เซิง : ขอเรียนถามท่านพระโพธิสัตว์  การเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัวคืออย่างไร ?

โพธิสัตว์ : การเกิดแบบโอปปาติกะในดอกบัว  สามารถแบ่งการเกิดออกเป็น 3 ชั้น 9 ระดับ  ดังนี้คือ  เกิดในบัวชั้นบนระดับบน  เกิดในบัวชั้นบนระดับกลาง  เกิดในบัวชั้นบนระดับล่าง  เกิดในบัวชั้นกลางระดับบน  เกิดในบัวชั้นกลางระดับกลาง  เกิดในบัวชั้นกลางระดับล่าง  เกิดในบัวชั้นล่างระดับบน  เกิดในบัวชั้นล่างระดับกลาง  เกิดในบัวชั้นล่างระดับล่าง  แต่การเกิดในบัวชั้นบนระดับบนนั้นจะใช้ระยะเวลาในการเกิดสั้นที่สุด  วันนี้เนื่องด้วยเวลาที่จำกัด  เราจะให้เมธีได้ทดลองเกิดในบัวชั้นบนระดับบนดูก็แล้วกัน

ไฉ้เซิง : คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะสามารถได้ลองเกิดในดอกบัวด้วย  ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ

โพธิสัตว์ : เอาล่ะ !  เดี๋ยวเราจะตั้งจิตอธิษฐานให้เมธีไปเกิดในดอกบัวแบบฉับพลัน

(พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อสวดมนต์อธิษฐานให้ไฉ้เซิงไปเกิดในดอกบัวแบบฉับพลัน  เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ไฉ้เซิงก็ผุดขึ้นมาจากดอกบัวขนาดใหญ่ซึ่งบานอยู่ภายในสระสัปตรัตนะ  มองเห็นไฉ้เซิงประนมมือ มีความวิสุทธิ์สะอาด  สง่างามน่าเกรงขาม  มีรัศมีเป็นแสงสว่างอ่อนๆเปล่งออกมาจากกาย  เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่หาดูได้ยากยิ่ง  ตอนนี้ไฉ้เซิงประนมมือคุกเข่าลงกราบพระอมิตาภพุทธเจ้า  พระโพธิสัตว์กวนอิน  พระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อ  รวมถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลายแบบเบญจางคประดิษฐ์  ไฉ้เซิงคุกเข่าอยู่บนดอกบัว  ดูสุภาพเรียบร้อยและมีมารยาท

พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยมหาเมตตามหากรุณา ได้แผ่รัศมีสีทองออกมานับร้อยพันโกฏิ  ส่องสว่างไปทั่วตรีสหัสสะมหาสหัสสะโลกธาตุ  อุณาโลมระหว่างคิ้วหมุนเวียนขวาปรากฏเป็นธรรมลักษณะ 8,4000 พระธรรมขันธ์อยู่เบื้องหน้า  พระโพธิสัตว์กวนอินมีกายสีม่วงทอง  บนศีรษะมีมงกุฎเปล่งรัศมีเป็นวงกลมแผ่ไปทั่วโลกธาตุทั้งสิบทิศ  ดอกบัวสีแดงในอ้อมแขนเปล่งแสงรัศมีที่มีกลิ่นหอมอันประเสริฐลึกล้ำอัศจรรย์แผ่ขจรไปไกล 80 โกฏิ  ยังได้เห็นพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อมีกายสีม่วงทองสาดส่องไปทั่วโลกธาตุทั้งสิบทิศ  บนศีรษะมีมงกุฎ ในมงกุฎมีแจกันวิเศษที่เปล่งรัศมีออกมาอย่างไร้ขอบเขตประมาณ  แสงรัศมีต่างๆซึ่งปรากฏอยู่ในแดนวิสุทธิภูมิแห่งนี้ช่างลึกล้ำอัศจรรย์ตระการตาจนเห็นแล้วต้องร้องอุทานว่า โอ้โห ! โอ้โห ! โอ้โห ! อันนี้ก็น่ามอง อันนี้ก็น่ามอง อันนี้ก็น่ามอง งดงามตื่นตาตื่นใจไปหมดจนไม่รู้จะเลือกมองอะไรก่อนดี แม้แต่พื้นของที่นี่ก็เป็นทองคำเปล่งแสงแวววาว บนพื้นไม่มีฝุ่นละอองหรือคราบสกปรกเลยแม้แต่นิดเดียว ช่างมหัศจรรย์จริงๆ  กลางอากาศก็เต็มไปด้วยหอสูงทรงโบราณแบบจีนมากมายจนไม่อาจนับคำนวณได้  ล้วนประดับประดาตกแต่งด้วยไข่มุก โมรา ทอง เงิน ไพฑูรย์  ยังได้เห็นดอกบัวจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วนอยู่ในสระสัปตรัตนะ  บนดอกบัวมีนกน้ำนานาชนิดขับร้องเสียงธรรมอันประเสริฐด้วยเสียงอันไพเราะ  ทำให้เสียงพระธรรมแพร่กระจายไปทั่วโดยไม่ขาดช่วง)

พระอมิตาภพุทธเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยมหาเมตตามหากรุณาทรงตรัสออกมาจากสุวรรณโอษฐ์ของพระองค์ว่า : เมธีไม่ต้องมากพิธี เชิญลุกขึ้นเถิด  ยินดีต้อนรับ  เจ้ารับบัญชาให้มาจาริกศึกษาธรรมที่พุทธภูมิของเรา เพื่อเปิดเผยสภาพจริงของแดนสุขาวดี  เชื่อแน่ว่าในวันที่หนังสือเล่มนี้ประพันธ์เสร็จ จะสามารถฉุดช่วยผู้คนให้มาเกิดยังแดนพุทธภูมิอันวิสุทธิ์สงบแห่งนี้ได้จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน  เราเองก็จะสำแดงนิรมาณกายนับร้อยพันโกฏินิรมาณกายลงไปยังโลกแห่งความเสื่อม เพื่อรับพวกเขาเหล่านั้นมาเกิดยังแดนสุขาวดีของเรา

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยขอเรียนถามพระอมิตาภพุทธเจ้า  ไม่ทราบว่าพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อที่ผู้น้อยได้พบเจอกลางทาง และยังเป็นผู้ที่นำพาผู้น้อยให้มาเกิดในดอกบัวเมื่อครู่นี้เป็นนิรมาณกายของพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อใช่หรือไม่ครับ ?

พระอมิตาภพุทธเจ้า : ถูกต้องแล้ว

ไฉ้เซิง : เรียนพระอมิตาภพุทธเจ้า  ผู้น้อยยังมีข้อสงสัยอีกข้อ  ไม่ทราบว่าแดนสุขาวดีนี้สร้างขึ้นมาได้อย่างไร  เหตุใดถึงได้ประเสริฐเลิศล้ำและวิจิตรตระการตาอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นนี้ ?

พระอมิตาภพุทธเจ้า : เมธีถามได้ดีมาก  แดนสุขาวดีแห่งนี้สำเร็จขึ้นด้วย  บุญกุศล  แรงปณิธาน  ปัญญา  และบุญญานุภาพ

ไฉ้เซิง : ขอบคุณพระอมิตาภพุทธเจ้าเมตตา  ผู้น้อยขอตัวก่อน

(ตอนนี้นิรมาณกายของพระโพธิสัตว์ต้าซื่อจื้อได้เหาะมาถึง และรับไฉ้เซิงไปยังหอสูงทรงโบราณแบบจีน)

โพธิสัตว์ : ไฉ้เซิง  วันนี้เจ้ามาที่พุทธภูมิของพวกเราเป็นครั้งแรก  เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ?

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยรู้สึกชื่นชมและรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นอจินไตย เกินกว่าที่จะจินตนาการ  ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชนคนทั่วไป

โพธิสัตว์ : เมธี ! วันนี้เป็นเพราะเจ้าได้รับบัญชาให้ประพันธ์หนังสือ  ดังนั้นเจ้าจึงมีโอกาสได้มายังแดนวิสุทธิภูมิแห่งนี้

ไฉ้เซิง : ถ้าหากว่าสามารถได้อยู่ที่นี่ตลอดไปก็คงจะดีมากๆ  ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์  เหตุใดในสระสัปตรัตนะถึงได้มีดอกบัวมากมายเช่นนี้ ?

โพธิสัตว์ : ดอกบัวในสระสัปตรัตนะนี้เกิดขึ้นจากแรงตอบสนองของผู้ที่สวดพุทธนาม  ซึ่งตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกธาตุอื่น  ยังไม่ได้มาเกิดที่นี่  ถ้าหากดอกบัวมีขนาดใหญ่อีกทั้งดูสดใสมีชีวิตชีวา ก็แสดงว่าผู้บำเพ็ญที่เป็นเจ้าของดอกบัวดอกนั้นมีความขยันหมั่นเพียร  ตั้งใจสวดท่องพุทธนาม  แต่ถ้าหากดอกบัวมีขนาดเล็กอีกทั้งเหี่ยวเฉาก็แสดงว่าผู้สวดพุทธนามที่เป็นเจ้าของดอกบัวดอกนั้นมีความเหนื่อยหน่าย  ขี้เกียจ  ไม่มีความตั้งใจในการสวด  ดังนั้นเราแค่ดูดอกบัวในสระสัปตรัตนะ  เราก็รู้แล้วว่าใครเอาจริงเอาจังกับการสวดพุทธนามหรือไม่

ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แยบยลจริงๆ

(ตอนนี้พระพุทธจี้กงได้เหาะมาถึงแล้ว)

พุทธจี้กง : เอาล่ะ !  วันนี้ดึกแล้วสมควรแก่เวลาแล้ว  ไฉ้เซิงรีบคุกเข่ากราบลาพระโพธิสัตว์เถอะ

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบลาพระโพธิสัตว์  ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและให้คำชี้แนะ

พุทธจี้กง : ไฉ้เซิงรีบนั่งบัลลังก์บัว  พวกเรากลับกันเถอะ

ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว  ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง

 

อธิบายคำศัพท์

โอปปาติกะ - ในศาสนาพุทธได้แบ่งการเกิดของสัตว์ออกเป็นสี่ประเภท คือ

1.ชลาพุชะ คือ ประเภทที่เกิดในครรภ์  ได้แก่สัตว์ที่เกิดอยู่ในครรภ์ก่อนแล้วคลอดออกมาเป็นตัว  เช่นมนุษย์  สัตว์บางประเภท  เป็นต้นว่า  โค  กระบือ  ม้า  เสือ  วาฬ  โลมา

2.อัณฑชะ คือ  ประเภทที่เกิดในไข่  ได้แก่สัตว์เดรัจฉานบางประเภทที่เกิดในฟองไข่ก่อนแล้วฟักออกมาเป็นตัว เช่น ไก่ เป็ด นก มด เต่า กบ เป็นต้น

3.สังเสทชะ คือ  ประเภทที่เกิดในเถ้าไคล  ได้แก่สัตว์ที่เกิดในของสกปรกโสมม เช่น หนอน ยุง แมลงบางชนิด

4.โอปปาติกะ คือ  ประเภทที่ผุดขึ้น  ได้แก่สัตว์ที่เกิดมาโดยไม่ได้อาศัยพ่อแม่และของโสโครกหรือที่ชื้นแฉะ แต่อาศัยกรรมอย่างเดียว และเมื่อเกิดก็เติบโตขึ้นทันทีทันใด เช่น พวกสัตว์นรก เปรต เทวดา พรหม มนุษย์โลกสมัยต้นกัป เป็นต้น

สระสัปตรัตนะ – หมายถึงสระบัวที่ประดับด้วยอัญมณีเจ็ดอย่าง 

อุณาโลม – ตามความหมายเดิม หมายถึงขนระหว่างคิ้ว และเป็นลักษณะอย่างหนึ่งในมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ  อุณาโลมที่เป็นมหาปุริส ลักษณะ  มีคำบาลีในพระไตรปิฎกว่า “อุณฺณา ภมุกนฺตเร ชาตา โอทาตา มุทุ ตูลสนฺนิภา.” แปลว่า มีพระอุณาโลมขาวละเอียดอ่อนดังสำลีเกิดระหว่างพระขนง อรรถกถาขยายความว่า  ถ้าจับปลายเส้นพระโลมาแล้วดึงออกจะได้ความยาวประมาณครึ่งช่วงแขน  เมื่อปล่อยกลับ เส้นพระโลมาจะม้วนเป็นทักษิณาวรรต  ปลายชี้ขึ้นบน  ต่อมา  มีการนำลักษณะของอุณาโลมไปประดิษฐ์เป็นรูปลักษณ์อย่างหนึ่ง และนำไปใช้เป็นเครื่องหมายบางอย่าง   นอกจากนี้ยังเกิดความนิยมเจิมจุดที่หน้าผากเป็นเครื่องหมายอุณาโลม  ถือกันว่าเป็นสิริมงคล

การขัดเกลาทางสังคม - คือการเรียนรู้ของสมาชิกในสังคมทั้งรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพตามความต้องการของสังคม การขัดเกลาทางสังคมคือการนำคนเข้าสู่ระบบของสังคมโดยผ่านกระบวนการต่างๆที่ทำหน้าที่ขัดเกลาอัตชีวะให้พ้นจากสภาพสัญชาตญาณเดิม กลายเป็นมนุษย์สังคม เพราะมนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก จึงต้องผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตลอดชีวิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม

More Posts