ครั้งที่ 19 วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2520
ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ
ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนความว่า :
หัวมีเขา ตัวมีขน อมนุษย์
กรรมอุดหนุน นำเกิด ก่อหนทาง
สรรพสัตว์ หมุนตามกฎ สวรรค์ร่าง
สัตว์สี่อย่าง ฝ่าฝืนธรรม ไร้เมตตา
อรหันต์จี้กง :วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงรีบตามฉันขึ้นบนดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :ขอรับคำบัญชา มิทราบว่าวันนี้จะท่องไปในทางใด ?
อรหันต์จี้กง :ที่จะท่องในวันนี้ผิดกับวันก่อนๆ เป็นอย่างมากจะมีภาพวิวทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง จงตั้งใจตั้งสติให้ดี อย่าได้หวาดหวั่น จนต้องกระทบงานแต่งหนังสือเลย
หยางเซิง :ขอรบกระผม กระผมได้นั่งบนดอกบัวแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้….เอ๊ะ ! ไฉนเบื้องล่างมีแสงทองส่องระยิบระยับ บนศีรษะของผู้คนในบ้านก็เกิดมีรัศมีพุ่งขึ้นสู่อากาศ
อรหันต์จี้กง :ใครใช้ให้เจ้ารีบลืมตาเล่า ? อันนี้แหละ คือรัศมีธรรมที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเปล่งบานออก และเรานั่งอยู่บนดอกบัวลอยกลางอากาศ เพราะเหตุว่าเทวดาทั้งหลายที่คุ้มครองศิษยานุศิษย์ที่ตั้งจิตสมาธิอยู่ในสำนักนั้น เมื่อธาตุรับธาตุแจ้ง 2 สิ่งมาบรรจบรวมกันเข้าในจุดกลาง จึงเปล่งรัศมีออกโดยปริยาย นั่นคือผลแห่งการตั้งใจมั่นคงปฏิบัติธรรมของศิษย์ทั้งหลายหละ
หยางเซิง :ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า รัศมีของศีรษะของผู้ร่วมบำเพ็ญทั้งหลายในสำนักจะคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงหรือไฉน ?
อรหันต์จี้กง :บรรดาผู้ที่ออกจากสำนักแล้ว จิตใจในธรรมไม่เสื่อมคลาย ขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญธรรม แสงรัศมีจะยิ่งเข้มขึ้น ยิ่งโชติช่วงรุ่งเรือง หากว่าออกจากสำนักไปแล้วจิตใจธรรมเสื่อมลง โดยทำตามใจตน แอบทำอกุศลรัศมีนั้นจะกลับมืดลงหมดแสงรุ่งโรจน์ เนื่องจากอยู่ในสำนักผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่ง 3 แดน จุติสถิตลง รัศมีแห่งธรรมจึงเจิดจ้าโชติช่วงเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้ามนุษย์ได้ใกล้ชิดผู้ทรงธรรมหรือเข้าวัดโบสถ์เสมอๆ ปีศาจยักษ์มารภายนอกก็ไม่กล้ามารุกรานทำร้าย เมื่อออกจากสำนักแล้วหากทำความชั่วร้ายเสื่อมศีลธรรม แสงแห่งดวงจิตก็จะดับลงทันทีทันใด ภูตผีนั้นกลัวความสว่างชอบความมืด ดังนั้นจึงง่ายที่จะเข้าสิงสู่ในกายมนุษย์ เหมือนกับเมื่อแสงรุ่งอรุณเริ่มส่อง ผีก็ถอยร่นไปชาวโลกตะหนักระวังให้ดี เจ้าหยางเซิงรีบปิดตาเร็ว เพื่อไปท่องชมเมืองนรก
หยางเซิง :ขอรับกระผม ได้ปิดตาทั้งสองข้างแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้….
หยางเซิง :ขอรับกระผม ได้ปิดตาทั้งสองข้างแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้….
อรหันต์จี้กง :….ถึงแล้วละ เจ้าจงรีบลงเสีย
หยางเซิง :ไฉนเบื้องหน้าจึงมีสัตว์และพวกเป็ดไก่นกกาชุมนุมมุ่งเดินทางไปข้างหน้าตามทางเล็กนี้เล่า ?
อรหันต์จี้กง :นี่แหละคือหนทางสัตว์สี่ชนิด เมื่อตายลงแล้วกลับคืนสู่นรกละ
หยางเซิง :วันก่อนมาที่นี่ เหตุใดจึงมองไม่เห็น สภาพการณ์เช่นนี้ ?
อรหันต์จี้กง :ก็เพราะว่าเจ้าเป็นปุถุชน ฉันเกรงว่าเจ้าจะรู้อะไรมากเกินไป จะทำให้จิตใจอ่อนไหว จึงใช้ฤทธิ์เดชนิดหน่อยใช้ "เดชพลางตา" ปิดบังสภาพจริงของทางสัตว์สี่ชนิดที่กลับคืนสู่นรก
หยางเซิง :ที่แท้ท่านอาจารย์เล่นกลใน 3 ภพเสียแล้ว พวกสัตว์เหล่านี้สู่แดนนรกแล้ว ทำไมจึงต้องตกใจร้องวิ่งพล่านราวกับว่าถูกคนไล่ต้อนฉันนั้น ?
อรหันต์จี้กง :พวกสัตว์สี่ชนิดเหล่านี้เมื่อไปเกิดในแดนมนุษย์ตอนที่ตายนั้นส่วนมากถูกฆ่าตาย ดังนั้นมันจึงหวาดกลัวแตกตื่นพอหมดธาตุแจ้งลงก็ถูกธาตุมืดดูดดึงเข้าไป แต่ละตนต้องกลับคืนสู่นรก เพื่อเสร็จสิ้นเวรเหตุแห่งกรรมใน 3 ชาติแล้ว สัตว์สี่ชนิดมีเวรกรรมหนักหน่อย ดวงวิญญาณมืดมัว พลกำลังอ่อนแอ เวลาตายลงไม่ต้องให้ยมทูตคุมส่ง ถูกธาตุธรณีดูดคืนโดยธรรมชาติอันนี้ ชนชาวโลกส่วนมากยังไม่เข้าใจ
หยางเซิง :จริงครับ เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินในชีวิตนี้เป็นครั้งแรกเราจะเดินไปข้างหน้าหรือครับ
อรหันต์จี้กง :ใช่แล้ว เราจะเดินตามพวกหัวควาย ม้า แพะ และสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ไป ส่วนมากที่แยกกลายเกิด เช่นสัตว์ที่เกิดในน้ำเน่าเกิดจากความชื้น รูปร่างเล็กมาก เมื่อตายแล้วดวงวิญญาณคล้ายดินทรายถูกลมโชยจนปลิวว่อน มีความรวดเร็วมากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นไม่จะแจ้ง มันบินกลับโลกมาชุมนุมกันรอคอยจนเต็มดวงวิญญาณแล้ว จะรับการตัดสินอีกที เพื่อชำระล้างเหตุแห่งกรรมในสามชาติให้เรียบร้อยไป
หยางเซิง :ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้อธิบายสั่งสอน มิเช่นนั้นกระผมจะไม่ทราบอะไรเอาเสียเลย ข้างหน้าก็คือประตูผีเหตุใดพวกวิญญาณสี่ชนิดเหล่านี้ จึงไม่เข้าไปทางประตูใหญ่ ?
อรหันต์จี้กง :เพราะเหตุว่าประตูผีให้วิญญาณมนุษย์เป็นหลักใหญ่พวกสี่ชนิดเหล่านี้มีกรรมเวรหนักหนา จึงต้องเข้าไปทางประตูเล็กด้านสองข้าง
หยางเซิง :เข้าไปในประตูผีแล้ว พวกมันเหตุใดจึงไม่ไปรายงานตัวที่หอทะเบียน ?
อรหันต์จี้กง :มีสถานที่แห่งอื่นจัดทำ ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนักเราเดินตามมันไปเถอะ ไปเร็วเข้า….
หยางเซิง :โอ ! เบื้องหน้าพื้นที่เขียวขจีเหมือนสนามเลี้ยงสัตว์ด้านซ้ายมีปราสาทหลังหนึ่ง ด้านบนเขียนไว้ว่า "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" พวกสี่ชนิดเหล่านี้ล้วนร่ำไห้และมุ่งไปรวมกลุ่มอยู่ที่นั่น สั่นหัวกราบไหว้ไปทางตำหนัก มีอาการคล้ายร้องทุกข์
อรหันต์จี้กง :ข้างหน้าคือ "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" บรรดาสี่ชนิดหมุนเวียนไปเกิดเพื่อรับสนองเวรกรรมที่ก่อไว้ เมื่อรับตอบจนหมดเวร หมดกรรมแล้วต้องกลับตำหนักนี้ เพื่อส่งวิญญาณคืนกลับไปเป็นตัวมนุษย์ รีบมุ่งไปหน้าตำหนักเถิด
หยางเซิง :หน้าตำหนักมีข้าราชการเดินออกมา 3 คน มิรู้ว่าเป็นผู้ใด ?
อรหันต์จี้กง :เป็น พระพันปี (ข้าราชการมีศักดิ์ถึงขั้นเจ้าหรือที่เรียกว่าอ๋อง) และข้าราชการบริพาร จงรีบเข้าไปทำความเคารพ
หยางเซิง :ขอแสดงคารวะต่อพระพันปีและเทวทูตทั้งหลาย
หยางเซิง :ขอแสดงคารวะต่อพระพันปีและเทวทูตทั้งหลาย
พระพันปี :มิต้อง ลุกขึ้นเร็ว ขอต้อนรับท่านอาจารย์กับหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งที่ได้มาเยี่ยมชมถึงตำหนักนี้
อรหันต์จี้กง :วันนี้อาตมาหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งจากเมืองไถ่ตง ผู้เป็นศิษย์มาเยี่ยมชมถึงตำหนักของท่าน ขอให้พระพันปีได้โปรดให้คำแนะนำชี้แจงด้วยเถิด
พระพันปี :สมควรแล้ว สมควรแล้ว เชิญทั้งสองตามข้าพเจ้าเข้ามานั่งพักสักครู่ในตำหนักเถิด
หยางเซิง :ขอขอบพระคุณพระพันปีที่ให้เกียรติเป็นอย่างสูง
พระพันปี :เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย นายทหารรีบเสิร์ฟน้ำขาเร็ว
หยางเซิง :สถานที่นี้แปลก เปลี่ยวมาก รู้สึกงงงันไปหมดขอพระพันปีได้โปรดอธิบายอย่างละเอียดด้วยขอรับ
พระพันปี :"ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" นี้ชาวโลกรู้กันน้อยมาก เนื่องจากสำนักของท่านมีพระราชโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่มีเทวโองการบัญชามาจึงได้เปิด "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" รับท่านเข้ามาเยี่ยมชมเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย
หยางเซิง :ขอขอบคุณพระมหากรุณาธิคุณที่ได้โปรดประทานคุณธรรมอันศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ ขอเชิญพระพันปีได้โปรดช่วยชี้แนะด้วย
พระพันปี :ข้าพเจ้าปกครอง "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" อยู่ในตำแหน่งพระพันปี เพราะสี่ชนิดเช่นเต่ามีชีวิตยืนนานถึงพันปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขนานนามว่า พระพันปี ไม่เรียกว่ายมบาล บรรดาผู้ที่มีความชั่วร้ายอุบาทว์กรรมเวรเต็มตัวในเมืองมนุษย์ เมื่อผ่านการลงโทษจากสิบขุมแล้ว ก็ถูกตัดสินเข้าสู่หนทางเกิดของสัตว์ สัตว์สี่ชนิดคืนชีพในหกทางแห่งเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไปเกิดยังโลกมนุษย์ก็ถูกเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนหัว สูญไปซึ่งร่างกายมนุษย์ที่มีค่ายิ่ง สัตว์สี่ชนิดแยกออกเป็นการเกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดจากน้ำ และเกิดจากการแยกกายสี่จำพวก เกิดจากรกเป็นชั้นที่หนึ่ง เกิดจากไข่เป็นชั้นที่สอง เกิดจากน้ำเป็นชั้นที่สาม เกิดจากการแยกกายเป็นชั้นที่สี่ เนื่องจากวิบากกรรมมาก จึงไปเกิดในแดนมนุษย์รับกรรมสนองตอบคืน เมื่อสี่ชนิดตายลงแล้ว เพราะเหตุว่าเกิดจากรก เกิดจากไข่นั้นดวงวิญญาณเหมือนมนุษย์ เป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ พวกเกิดจากน้ำ เกิดจากการแยกกายนั้นมีเวรกรรมหนักมาก ดวงวิญญาณถูกแยกออก ดังนั้นที่เกิดจากน้ำเกิดจากการแยกกายสองชนิดนี้ การคืนชีพจึงค่อนข้างยาก ต้องคอยดวงวิญญาณรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วิญญาณนั้นจึงจะสมบูรณ์แบบ จึงสามารถคืนชีพเป็นตัวมนุษย์ได้
อรหันต์จี้กง :เวลาดึกมากแล้ว เราศิษย์อาจารย์จะต้องกลับก่อนแล้ว วันหลังค่อยมารบกวนท่านใหม่
หยางเซิง :เสียใจเป็นที่ยิ่ง ในระหว่างที่กำลังรับฟังคำสั่งสอนชี้แจงเกิดลาจากโดยฉับพลัน ขอขอบคุณพระพันปีที่ได้ให้การแนะนำอธิบาย เราจะกลับสำนักแล้วละ
พระพันปี :ที่ไหนได้ สิ่งใดที่บกพร่อง ขอโปรดให้อภัยด้วย คราวหน้าเชิญมาเที่ยวชมตำหนักนี้ใหม่เถิด
อรหันต์จี้กง :เจ้าหยางเซิงรีบออกจากตำหนัก เตรียมตัวกลับสำนัก
พระพันปี :ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์
อรหันต์จี้กง :การทำให้วาจาอันมีค่ายิ่งของพระพันปีขาดหายไปนั้นได้โปรดอภัยด้วย
พระพันปี :มิต้อง เพราะว่าเวลาที่จะต้องกลับสู่โลกมนุษย์ของท่านหยางเซิงมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าไม่สมควรที่จะเหนี่ยวรั้งให้อยู่ได้อีก
อรหันต์จี้กง :หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว
หยางเซิง :กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้….
อรหันต์จี้กง :ถึงแล้ว……สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง
หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม