ครั้งที่ 12 พระโพธิสัตว์แนะนำสภาพแวดล้อมอันประเสริฐของแดนสุขาวดี

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 6 วันที่ 22 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ

ใจมั่นคง สูงส่ง ดำเนินธรรม บำเพ็ญ

ร่วมสุขทุกข์ ลำเค็ญ คราดไถ นาใจ

บำเพ็ญควบคู่ เมตตาภายนอก คุณธรรมภายใน

มุ่งก้าวหน้าไป สู่แดน วิสุทธิภูมิ

 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ศิษย์ทั้งหลาย ไม่ได้พบหน้ากันนานเลยนะเรา   วันนี้เห็นภายในสำนักมีกระดานดำแผ่นใหญ่เพิ่มขึ้นมา 1 แผ่น  คาดว่าน่าจะเอาไว้ใช้บรรยายธรรม  อาตมาเห็นแล้วในใจเกิดความปีติยินดี  เป็นเพราะศิษย์ทั้งหลายในสำนักเซิ่งเทียนถังมีจิตหนึ่งใจเดียวมุ่งวิริยะพากเพียร  จิตใจที่ทุ่มเทพยายามโดยไม่ท้อถอยเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญพึงปฏิบัติ

ไฉ้เซิง : สำนักธรรมของเราเตรียมกระดานดำแผ่นใหญ่ไว้แล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ขึ้นเวทีใช้บรรยายธรรม

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมอบงานให้อาจารย์ทำซะแล้ว  งานบรรยายธรรมะแบบนี้ยังต้องวานให้อาจารย์ช่วยจัดการแทนให้อยู่อีกรึ ?

ไฉ้เซิง : ไม่ใช่อย่างนั้นครับ  เป็นเพราะคนมากมายต่างชอบฟังพระอาจารย์พูดธรรมะ  ดังนั้นศิษย์จึงขอให้พระอาจารย์ช่วยชี้แนะเท่านั้นเอง

พุทธจี้กง : ความจริงแล้วเจ้าควรฝึกฝนตนเอง  งานแบบนี้ต้องให้เจ้าแบกรับขึ้นมาเองจึงจะเหมาะสมกว่า

ไฉ้เซิง : ศิษย์จะทำได้เหรอครับ ?

พุทธจี้กง : ถ้าหากเจ้าไม่ไปทำ  เจ้าก็จะทำไม่ได้ตลอดไปนั่นแหละ  ถ้าหากเจ้าตั้งใจไปทำเดี๋ยวเจ้าก็ทำสำเร็จ

ไฉ้เซิง : ในเมื่อพระอาจารย์พูดอย่างนี้  ศิษย์ก็จะลองทำดู

พุทธจี้กง : เอาล่ะ วันนี้เราออกเดินทางกันก่อนเถอะ

ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งบัลลังก์บัวเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พุทธจี้กง : วันนี้ดูท่าทางลมฝนกำลังจะมา  อาจารย์เห็นชาวโลกต่างหลบอยู่ในบ้านดูโทรทัศน์  มีเพียงศิษย์ในสำนักเซิ่งเทียนถังที่ยืนล้อมรอบกระบะทรายดูการประทับทรงเขียนประพันธ์หนังสือ  ช่างเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายจริงๆ

ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ ! ชาวโลกชมการถ่ายทอดสดของโทรทัศน์  ส่วนพวกเราชมการถ่ายทอดสดของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์  ชาวโลกดูกันอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน  ส่วนพวกเราดูกันอย่างปีติในธรรม

พุทธจี้กง : วันนี้เพื่อให้เจ้ารู้ว่าโลกมนุษย์กับแดนสุขาวดีอยู่ห่างไกลกันมากขนาดไหน  ดังนั้นจึงทำให้การจาริกแดนสุขาวดีในวันนี้ล่าช้าออกไป

ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง  มิน่าล่ะ  เมื่อครู่นี้ศิษย์มองเห็นชั้นกามภูมิและรูปภูมิ  ตอนนี้มองออกไปก็เป็นชั้นอรูปภูมิซึ่งเป็นภูมิที่ไร้รูปลักษณ์  ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์จริงๆ

พุทธจี้กง : เดี๋ยวเจ้าก็จะมองเห็นแดนสุขาวดีแล้ว

ไฉ้เซิง : คิดไม่ถึงว่าแดนสุขาวดีจะเป็นเมืองในอุดมคติที่อยู่เหนือชั้นกามภูมิ  รูปภูมิ  และอรูปภูมิขึ้นไปอีก  เป็นถ้ำสวรรค์ของเหล่าเทพเทวาโดยแท้

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! ถ้ำสวรรค์ของเหล่าเทพไม่สามารถจะเอามาเปรียบเทียบกับแดนสุขาวดีได้หรอก

ไฉ้เซิง : เป็นอย่างนั้นจริงๆ  แดนสุขาวดีกว้างใหญ่ไพศาลมาก  ไม่เหมือนกับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของโลกมนุษย์ที่คับแคบและต้องใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียด

พุทธจี้กง : เบื้องหน้านั่นพระโพธิสัตว์ชิงจิ้งมาต้อนรับพวกเราแล้ว   ศิษย์เรา รีบกราบคารวะเร็ว

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบคารวะพระโพธิสัตว์  ขอพระโพธิสัตว์โปรดชี้แนะผู้น้อยเยอะๆ

โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี  วันนี้สำนักของเจ้าได้รับพระโองการให้ประพันธ์หนังสือ  นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในแดนสุขาวดีนี้ต่างเฝ้ารอคอย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เราได้มีโอกาสต้อนรับแขกจากแดนไกลผู้ไม่กลัวความลำบาก  นั่นก็เพราะได้รับบัญชามาจากพระอมิตาภพุทธเจ้า

ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง  ต้องขอบคุณมากๆจริงๆครับ  แต่ว่าวันนี้ให้หลวนเหมินมาเผยแพร่พุทธธรรมให้  จริงๆแล้วนี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากๆในศาสนาพุทธไม่ใช่หรือครับ ?

โพธิสัตว์ : เมธี ! เจ้าก็มีความคิดที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายด้วยอย่างนั้นหรือ ?

ไฉ้เซิง : ไม่มีครับ ! เพียงแต่รู้สึกว่าการได้รับภาระหน้าที่ให้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มากและยังสามารถทำลายการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายลงได้อีกด้วย

โพธิสัตว์ : เมธีพูดได้ถูกต้อง  วันนี้พุทธธรรมต้องอาศัยหลวนเหมินมาแพร่ประกาศธรรมให้  นั่นก็เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย  เนื่องจากพระอมิตาภพุทธเจ้าเห็นว่าเวไนยในธรรมกาลยุคท้ายมีจิตญาณที่เขลาหลงลงทุกวัน  และเห็นว่าหลวนเหมินมีความสามารถในการปกโปรดกล่อมเกลาเป็นพิเศษ  ดังนั้นจึงเลือกสำนักหลวนถังสำนักหนึ่งให้มาช่วยประพันธ์หนังสือเล่มนี้  เพื่อเป็นการส่งเสริมธรรมวิถีแห่งแดนวิสุทธิภูมิสุขาวดี  แล้วก็พอดีประจวบเหมาะที่เมธีมีพุทธสัมพันธ์กับพระอมิตาภพุทธเจ้าของพวกเรา  อีกทั้งเมธียังมีปณิธานใหญ่  มีความจริงใจที่จะฉุดช่วยชาวโลก  ดังนั้นจึงมีเหตุปัจจัยให้ประพันธ์หนังสือในวันนี้

ไฉ้เซิง : อ๋อ ! ผู้น้อยช่างโชคดีจังเลย

โพธิสัตว์ : ตอนนี้ถึงแล้ว  พวกเราก็มาตากลมที่ใต้ต้นไม้นี่เถอะ

ไฉ้เซิง : มาถึงที่นี่  สถานที่ๆห่างไกลจากความสับสนวุ่นวายของเสียงอึกทึกครึกโครม  เป็นที่ๆมีแสงรัศมีอันสง่างามน่าเกรงขาม  ในฐานะบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นประจักษ์พยานให้แก่ชาวโลก  ผู้น้อยไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรดี  พูดได้เพียงว่า  โอ้โห ! บุญตาน่าทึ่ง.......ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์  ที่แดนสุขาวดีมีพระโพธิสัตว์มากมายขนาดนี้  แล้วบำเพ็ญสำเร็จกันได้อย่างไร ?

โพธิสัตว์ : มีใจก็สำเร็จ  มีความมุ่งมั่นก็สำเร็จ  มีความเชื่อมั่นก็สำเร็จ  นี่ก็คือมูลเหตุแห่งความสำเร็จของพระโพธิสัตว์

ไฉ้เซิง : เบื้องหน้านั้นมีนกน้ำขับขานเสียงธรรมอันไพเราะ  ทำให้ผู้น้อยตื่นแจ้งในฉับพลัน  กายใจสงบเบาสบาย  ปีติในธรรม  วิเศษยอดเยี่ยมโดยแท้

โพธิสัตว์ : นกน้ำเหล่านี้ไม่ใช่คนที่สร้างบาปกรรมแล้วมาเกิดเป็นนกเพื่อชดใช้กรรม  แต่เป็นนกที่สำเร็จขึ้นจากแรงปณิธานของพระอมิตาภพุทธเจ้า  จุดประสงค์ก็เพื่อให้เสียงธรรมได้แพร่กระจายไปทั่ว 

ไฉ้เซิง : ยอดเยี่ยมจริงๆ  ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์  ต้นไม้เหล่านี้ดูเหมือนต้นไม้ที่เจริญงอกงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ  นี่เป็นเพราะเหตุใด ?

โพธิสัตว์ : ต้นไม้เหล่านี้ก็คือต้นไม้ที่สำเร็จขึ้นจากแรงปณิธานของพระอมิตาภพุทธเจ้า  ดังนั้นจึงเขียวตลอดทั้งปี  สี่ฤดูไม่โรยรา  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไหร่ที่ต้นไม้เหล่านี้ถูกลมพัดโชยก็จะทำให้เกิดเสียงธรรมอันล้ำลึก

ไฉ้เซิง : โอ้ ! ผู้น้อยรู้สึกได้แล้ว  เสียงธรรมนี้เมื่อฟังแล้วทำให้จิตใจสงบ  สามารถชะล้างกิเลสความกลัดกลุ้ม  และยิ่งทำให้ผู้น้อยมีความคิดอยากจะสวดพุทธนาม

โพธิสัตว์ : ฮ่าๆ ! ดังนั้นขอเพียงเวไนยได้มาเกิดที่แดนสุขาวดี  เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงธรรมเหล่านี้ก็ย่อมที่จะสวดพุทธนามโดยอัตโนวัติ  นี่เป็นหลักธรรมที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง

ไฉ้เซิง : ทางเดินเหล่านี้ล้วนเป็นสีทองคำ  ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแนวตรง  งามสง่ากว่าพื้นกระเบื้องเซรามิคบนโลกมนุษย์มากมายนัก

โพธิสัตว์ : ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น  พื้นดินเหล่านี้ล้วนปูด้วยทรายทองคำ  นี่ก็คือโลกในอุดมคติที่สำเร็จขึ้นจากแรงปณิธานของพระอมิตาภพุทธเจ้า  ดังนั้นถ้าหากชาวโลกอยากได้ทองคำ  มิสู้สวดพุทธนามเพื่อมาเกิดแดนสุขาวดี  รับรองว่ามีทองคำให้ดูจนดูไม่หวาดไม่ไหว

ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ ! ชาวโลกที่ร่ำรวยมีฐานะเอาทองคำมาทำเป็นเครื่องประดับ  คิดไม่ถึงว่าที่แดนสุขาวดีจะเอาทองคำมาทำเป็นพื้นให้เดินเหยียบอยู่ใต้เท้า  ทุกทีมีทองคำเต็มไปหมด  ช่างแตกต่างกับโลกมนุษย์ราวฟ้ากับเหว

โพธิสัตว์ : ฮ่าๆ ! เมธีเข้าใจเปรียบเทียบนะ

ไฉ้เซิง : ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ  พระโพธิสัตว์ให้เกียรติชมเกินไปแล้ว......ขอเรียนถามพระโพธิสัตว์  ก็ในเมื่อที่นี่อยู่เหนือไตรภูมิ (กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ) แล้วทำไมที่นี่ยังมีรูปลักษณ์อยู่อีกล่ะ ?

โพธิสัตว์ : เพราะที่นี่คือพุทธเกษตรที่สำเร็จขึ้นจากบุญกุศลอันเป็นอจินไตยของพระอมิตาภพุทธเจ้ายังไงล่ะ   เจ้าดูพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในแดนสุขาวดีแห่งนี้สิ  มากมายจนไม่สามารถนับคำนวณออกมาได้  แล้วที่นี่จะอยู่ภายในอาณาเขตของไตรภูมิได้อย่างไร

ไฉ้เซิง : ในเมื่อที่นี่อยู่เหนือไตรภูมิ  แต่ปุถุชนคนทั่วไปมีกัมมาวรณ์หนัก  แล้วสามารถมาเกิดที่นี่ได้อย่างไร ?

โพธิสัตว์ : เพราะว่านี่คือแรงมหาปณิธานของพระอมิตาภพุทธเจ้า  เจ้าต้องรู้นะ  ก็เหมือนดั่งเวไนยที่ใช้มือ 2 ข้างปีนป่ายหน้าผาสูง  พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน  การบำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีอื่นก็เหมือนกับการที่คนๆหนึ่งมีใจที่คิดอยากจะปีนขึ้นมาบนหน้าผา  ถ้าหากใจสู้  แต่พลังความสามารถของตัวเองมีไม่ถึงก็ต้องตกลงสู่เหวลึก  แต่ว่าคนที่บำเพ็ญปฏิบัติในธรรมวิถีแห่งการสวดท่องพุทธนามนั้นไม่เหมือนกัน  เขาร้องเรียกให้คนที่อยู่บนหน้าผาช่วยดึงเขาขึ้นไป  สุดท้ายก็ช่วยได้สำเร็จ  ดังนั้นประเภทแรกคือการอาศัยพลังความสามารถของตัวเองในการปีนขึ้นมา  ซึ่งพลังจะน้อยกว่า  ส่วนประเภทหลังคือการอาศัยพลังของตัวเองและพลังของผู้อื่นเข้ามาช่วย  ดังนั้นจึงปีนขึ้นมาได้ง่ายกว่า  ความแตกต่างกันก็อยู่ตรงนี้

ไฉ้เซิง : พูดเช่นนี้ แสดงว่า  ขอเพียงมีจิตหนึ่งใจเดียวในการสวดท่องพุทธนามก็สามารถได้รับการอนุเคราะห์จากพระพุทธะโพธิสัตว์ให้มาเกิดแดนสุขาวดี

โพธิสัตว์ : ย่อมเป็นเช่นนั้น  ดังคำกล่าวว่า “บำเพ็ญพันคน ก็ได้ไปพันคน  บำเพ็ญหมื่นคน ก็ได้ไปทั้งหมื่นคน”

ไฉ้เซิง : นี่เป็นข่าวประเสริฐจากฟ้าจริงๆ  งั้นผู้น้อยต้องสวดพุทธนามบ้างซะแล้ว

โพธิสัตว์ : เมธี ! ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้ากำลังคิดถึงปัญหาอะไรอยู่ ?

ไฉ้เซิง : โลกมนุษย์คือทะเลทุกข์โดยแท้  แรงกดดันต่างๆในการดำรงชีวิตช่างมากมายเหลือเกิน  สมมติเช่น เรื่องการเรียน ถ้ายิ่งเรียนในระดับที่สูงขึ้นก็เหมือนยิ่งเดินเข้าสู่ประตูแคบ  ดังนั้นถ้าอยากจะเรียนต่อก็ต้องลำบากมาก  การหางานทำก็เหมือนการเดินเข้าสู่ประตูแคบ  ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด  แข่งกันไปแข่งกันมา  มีเพียงประตูธรรมแห่งการสวดพุทธนามที่บำเพ็ญปฏิบัติง่ายที่สุด  หนทางกว้างที่สุด  นี่ไม่ใช่ข่าวประเสริฐอันยิ่งใหญ่หรอกหรือ ?

โพธิสัตว์ : หวังว่าเจ้าจะเอาข่าวประเสริฐนี้ไปบอกต่อแก่ชาวโลก

ไฉ้เซิง : งั้นเห็นทีคงต้องให้ผู้ที่มีกุศลจิตอันกว้างใหญ่มาร่วมด้วยช่วยกันถึงจะได้

โพธิสัตว์ : ย่อมเป็นเช่นนั้น  เราเชื่อว่าถ้าหากชาวโลกได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะต้องมาช่วยกันพิมพ์แน่นอน

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยก็หวังอย่างนั้น  และหวังว่าคนที่ช่วยพิมพ์หนังสือท่องแดนสุขาวดีเล่มนี้ทุกคนจะสามารถได้รับการปกปักคุ้มครองจากพระพุทธะโพธิสัตว์

โพธิสัตว์ : เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้ว

พุทธจี้กง : วันนี้เวลาล่วงเลยมามากแล้ว อาจารย์ว่าประพันธ์หนังสือถึงเท่านี้ก่อนเถอะ  รีบกราบลาพระโพธิสัตว์เร็ว

ไฉ้เซิง : ผู้น้อยกราบลาพระโพธิสัตว์  ขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่ชี้แนะ

โพธิสัตว์ : เมธีไม่ต้องมากพิธี  โอกาสหน้าพบกันใหม่

พุทธจี้กง : ศิษย์เรานั่งบัลลังก์บัวให้ดี  เตรียมตัวกลับสำนักเถอะ

ไฉ้เซิง : ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว  ขอเชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้

พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว  ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง


ปลากรอบเจ

ปลากรอบเจ

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

เกี๊ยวน้ำหมูแดง

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

ประวัติพระอรหันต์จี้กง ตอนที่ 9

หนีการถูกข่มเหงสู้วัดเจิ่นฉือ

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

ครั้งที่ 2 ตอนเที่ยวสระน้ำสบายใจ

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago

สร้างกุศล

1654918052.jpg
mindcyber
1 year ago