ครั้งที่ 1 อาจารย์ ศิษย์ สนทนาธรรม ผู้มีปัญญาดูเหมือนคนเขลา พุทธจี้กงเบิกบานใจ ศิษย์ไฉ้เซิงไม่คิดมาก

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 1 วันที่ 25 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 26 กุมพาพันธ์ พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง  ประทับทิพยญาณ

เซิ่งเทียนถัง ภาระใหญ่ แบกรับไว้ บนสองบ่า

ฉุดช่วยคน ให้ศรัทธา มาเลียนแบบ พุทธะเซียน

ท่องเที่ยวแดน สุขาวดี หนังสือใหม่ ประพันธ์เขียน

สามารถช่วย กล่อมเกลาเปลี่ยน ผู้ลุ่มหลง ทุกยุคกาล

 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! เวไนยทั้งหลายล้วนเข้าใจว่าความทุกข์คือความสุข ความสุขคือความทุกข์  ยึดของปลอมเป็นของจริง  เห็นของจริงเป็นของปลอม  ทุกวันรู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่นอย่างสำเริงสำราญ  ลุ่มหลงอยู่ในอารมณ์เจ็ด ตัณหาหก  โดยเข้าใจว่านั่นคือความสุข  หารู้ไม่ว่า  เมื่อความสุขถึงขีดสุขแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นความเศร้า  มีวันหนึ่งที่ต้องตกสู่การเวียนว่าย  แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร  วันนี้เซิ่งเทียนถังได้รับพระโองการให้ประพันธ์หนังสือธรรมะ “ท่องแดนสุขาวดี” นำทัศนียภาพของแดนสุขาวดีมาแนะนำให้ชาวโลกได้รู้จัก  สอนเวไนยให้พวกเขารู้ว่าความสุขที่เที่ยงแท้นิรันดร์นั้นไม่ใช่ความสุขจากกามคุณ  เพราะความสุขจากกามคุณ  เป็นความสุขเพียงช่วงเวลาสั้นๆ   มีเพียงการไม่เกิดไม่ตาย  มีอิสระเสรี  หลุดพ้นจากบ่วงผูกมัดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นความสุขที่แท้จริง

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้องที่สุด แต่ทว่าน่าเสียดายที่ชาวโลกไม่สามารถใช้ตาเนื้อไปมองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงตกต่ำถลำลงสู่หนทางแห่งความเสื่อมครั้งแล้วครั้งเล่า 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ความสามารถในการมองเห็นของคนเรานั้นมีขีดจำกัด  ตัวอย่างเช่น  เมื่อมองไปข้างหน้าก็ไม่สามารถเห็นข้างหลัง  เมื่อมองไปทางซ้ายก็ไม่สามารถเห็นทางขวา  เมื่อมองขึ้นด้านบนก็ไม่สามารถเห็นด้านล่าง  สามารถมองเห็นสิ่งที่มีรูปลักษณ์  แต่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์   ก็เหมือนกับน้ำ  ตอนที่น้ำระเหยกลายเป็นไอ  ตาของคนยังสามารถมองเห็นได้  แต่ตอนที่ไอน้ำค่อยๆเข้าสู่อากาศลอยขึ้นบนท้องฟ้า ตาของคนก็มองไม่เห็นแล้ว  วิญญาณของคนก็เช่นกัน  อย่างอิเล็กตรอน  นิวคลีออนที่มีขนาดเล็กมากๆ  ตาเนื้อของคนก็ไม่สามารถมองเห็นได้  เต้าหงเจ้าว่าใช่หรือไม่ ?

ไฉ้เซิง : เมื่อครู่นี้พระอาจารย์เรียกศิษย์ว่า “เต้าหง” ทำให้ศิษย์นึกขึ้นได้  เมื่อครั้งที่ประพันธ์หนังสือ “ท่องเมืองมนุษย์” นั้น  พระอาจารย์ได้ตั้งชื่อทางธรรมให้ศิษย์ว่า “เต้าหง” แต่ศิษย์รู้สึกว่าศิษย์เป็นคนสมองทื่อ ไม่คู่ควรกับคำว่า “เต้าหง”

พุทธจี้กง : ถ้างั้นเจ้าอยากใช้ชื่อว่าอะไร ?

ไฉ้เซิง : ศิษย์คิดมาได้ระยะหนึ่งแล้ว  ศิษย์เป็นคนที่สมองทื่อควรชื่อ “ตีเหนิง” จะเหมาะกว่า

พุทธจี้กง : ตีเหนิง ! นั่นก็คือเจ้าได้กลับคืนสู่ธรรมชาติอันใสซื่อแล้ว

ไฉ้เซิง : ยังไงครับ ?

พุทธจี้กง : ใช่หรือไม่ว่าผู้มีปัญญาดูคล้ายคนที่โง่เขลา

ไฉ้เซิง : โอ๊ะ ! ยังห่างไกลกันอีกเยอะครับ

พุทธจี้กง : ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เหนือชั้นกว่าอาจารย์แล้วล่ะ

ไฉ้เซิง : ไม่ใช่อย่างนั้นครับ  ศิษย์หมายความว่าศิษย์ไม่คู่ควรกับที่พระอาจารย์ยกย่องว่า “ผู้มีปัญญาดูคล้ายคนที่โง่เขลา” ศิษย์เป็นคนสมองทื่อ เป็นคนโง่ที่ปัญญาอ่อนจริงๆ

พุทธจี้กง : ถ้าเช่นนั้นก็คือเจ้าดูหมิ่นอาจารย์

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?

พุทธจี้กง : เพราะถ้าหากเจ้าเป็นคนโง่ปัญญาอ่อน  แล้วอาจารย์ไม่กลายเป็นอาจารย์ที่ปัญญาอ่อนหรอกรึ ?

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์ก็ยังคงเป็นพระพุทธจี้กงที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสเหมือนเดิมไงครับ

พุทธจี้กง : งั้นใครกันล่ะ ! ที่เรียกอาตมาว่าสงฆ์วิปลาส  หากชาวโลกจะเคารพอาตมา  มิสู้เคารพตัวเองก่อนจะดีกว่า

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์กล่าวเช่นนี้  หมายความว่าถ้าจะกราบไหว้พระพุทธะ  ก็ต้องกราบไหว้พระพุทธะที่อยู่ในใจของตัวเองก่อน

พุทธจี้กง : ไหนเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนโง่ปัญญาอ่อนไม่ใช่หรือ ? แล้วทำไมถึงพูดประโยคนี้ออกมาได้

ไฉ้เซิง : ครับ

พุทธจี้กง : งั้นเดี๋ยวเราสองคนไปลองรถกันก่อนดีกว่า

ไฉ้เซิง : ลองรถอะไรหรือครับ ?

พุทธจี้กง : ก็ไปลองนั่งบัลลังก์บัวไง

ไฉ้เซิง : อ๋อ ! ศิษย์เข้าใจแล้ว

(ในขณะที่อาจารย์ศิษย์ทั้งสองยิ้มกันอย่างเบิกบานใจ บัลลังก์บัวก็ค่อยๆลอยขึ้นสู่ฟ้า)

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! เจ้าจะใช้ชื่อว่าตีเหนิง ไม่กลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเอารึ ?

ไฉ้เซิง : ขอเพียงแค่พระอาจารย์ไม่รังเกียจและทอดทิ้งศิษย์ก็พอแล้ว

พุทธจี้กง : อาจารย์นึกอะไรได้เรื่องหนึ่ง  ตั้งแต่ช่วงยุคท้ายมานี้ ชาวโลกได้มีการรณรงค์ให้ลดการใช้พลังงาน  ลดการสิ้นเปลือง  ถ้าหากพูดในแง่ของการบำเพ็ญธรรม  ก็ต้องบำเพ็ญแบบ “ไม่มีการรั่ว” นั่นก็คือการบำเพ็ญแบบ “ไม่มีอาสวธรรม”  อย่าได้บำเพ็ญแบบ “มีการรั่ว” นั่นก็คือ อย่าบำเพ็ญแบบ “มีอาสวธรรม”

ไฉ้เซิง : อย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญแบบ “มีการรั่ว” แล้วอย่างไรที่เรียกว่าบำเพ็ญแบบ “ไม่มีการรั่ว” ครับ ?

พุทธจี้กง : บำเพ็ญธรรมแบบมีการรั่ว  ก็เหมือนกับกรวยที่ใช้กรองน้ำ เมื่อเติมน้ำที่ปลายด้านบน  น้ำก็จะไหลรั่วออกที่ปลายด้านล่าง  หากพูดในแง่ของการบำเพ็ญ  บ้างก็พลังรั่ว  บ้างก็คุณธรรมรั่ว  บ้างก็กุศลรั่ว  บ้างก็บุญรั่ว

ไฉ้เซิง : อย่างไรครับที่เรียกว่าพลังรั่ว ?  คุณธรรมรั่ว ?  กุศลรั่ว ?  บุญรั่ว ?

พุทธจี้กง : สมมติว่าเราไม่ระมัดระวังความคิดเรื่องกามราคะ  เกิดโทสะง่าย  ก็จะทำให้พลังกายธาตุ  พลังปราณธาตุ และพลังวิญญาณธาตุ  ของเราสูญเสียไป  นี่ไม่ใช่พลังรั่วหรอกหรือ ?  สำหรับคุณธรรมรั่วนั้น  ก็คือ มีผู้บำเพ็ญธรรมบางคนที่ไม่รู้จักรักถนอมคุณธรรม  ไม่รู้ว่าคุณธรรมก็คือพื้นฐานของการบำเพ็ญธรรม  มักจะเกิดความยโสโอ้อวดอยู่เสมอ  โอหังอวดดี  โดยคิดว่าตัวเองเก่ง  ตัวเองแน่กว่าผู้อื่น  เช่นนี้ไม่ใช่การทำให้คุณธรรมในตนเสื่อมถอยด้อยค่าลงหรอกหรือ ?  ยังมีบางคนที่กุศลรั่ว  นั่นก็คือคนที่ยังไม่หยุดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  คนที่ยังไม่หยุดสร้างวจีกรรม (อันได้แก่การพูดคำโกหก  การพูดคำส่อเสียด  การพูดคำเพ้อเจ้อ  การพูดคำหยาบ)  คนที่ยังไม่หยุดประพฤติผิดในกาม  เมื่อสร้างบาปกรรมเหล่านี้  ก็คือพฤติการณ์ที่ทำให้กุศลความดีรั่วมิใช่หรือ ?  บุญรั่ว ก็คือ หลงระเริง  ฟุ่มเฟือย  สุรุ่ยสุร่าย  ไม่รู้จักรักถนอมทรัพย์สินสิ่งของ  อย่างเช่น  การดื่มเหล้า  เล่นการพนัน  โลภไคว่คว้าแสวงหาความรุ่งเรือง  อยากร่ำรวย  อยากมียศมีตำแหน่ง  อยากมีชื่อเสียงโด่งดัง  นี่ไม่ใช่การทำให้บุญที่ตนเองสร้างมารั่วออกไปหรอกหรือ ?

ไฉ้เซิง : อ่อ ! ที่แท้เป็นเช่นนี้

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! ตอนนี้เจ้าลองมองดูเบื้องล่างสิ

ไฉ้เซิง : เอ๊ะ ! ทำไมถึงมีรัศมีพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า  เหมือนดั่งรุ้งของตะวันทรงกลด  นั่นมันคืออะไรหรือครับ ?

พุทธจี้กง : เดี๋ยวอาจารย์จะเคลื่อนบัลลังก์บัวลงไปให้เจ้ามองดูได้ชัดๆ

(ไฉ้เซิงมองดูอย่างละเอียด  ที่แท้แล้วคือสถานที่แห่งหนึ่งที่เขารู้จักดี)

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์ ! นั่นมันสำนักธรรมเซิ่งเทียนถังของเราไม่ใช่หรือนั่นน่ะ ?  มองเห็นเพื่อนผู้ร่วมบำเพ็ญยืนอยู่สองฟากข้างด้วยความเคารพศรัทธา  ดูสง่างามน่าเกรงขาม  แสงรัศมีเจิดจ้าสว่างไสว  ไม่เหมือนกับที่เห็นในยามปกติ 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ก็เมื่อเดือนที่แล้วไม่ใช่ว่าอาจารย์เคยบอกกับเจ้ารึไงว่า สำนักธรรมเล็กๆดำเนินในมหาธรรมอันยิ่งใหญ่  หรือว่าเจ้าไม่รู้ ?

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดถึงตรงนี้  ศิษย์รู้สึกว่านี่เป็นภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงนัก 

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา !  เจ้ามีจิตใจเช่นนี้  อาจารย์รู้อยู่แล้ว  ก็เพราะเจ้ามีจิตใจเช่นนี้  ดังนั้นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่จึงให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ  เจ้าดูสิ  ผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับเจ้ากำลังทยอยกันเข้ามาที่เซิ่งเทียนถัง  แล้วต่อไปผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในแต่ละที่ก็จะเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการร่วมหนุนส่งงานธรรม  เจ้าลองคิดดูก็จะรู้ได้  เซิ่งเทียนถังเป็นเรือธรรมลำใหญ่  สามารถฉุดช่วยผู้คนได้มากมายนับไม่ถ้วน  ต่อไปงานธรรมจะรุ่งเรืองอย่างปาฏิหาริย์

ไฉ้เซิง : ต่อไปจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆหรือครับ ?

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! นี่ก็คือผลจากการที่เจ้าได้ตั้งมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่  ดังนั้นผู้บำเพ็ญปฏิบัติในธรรมกาลยุคสาม  รวมทั้งศิษย์ทั้งหลายที่กลับมาเกิดใหม่ด้วยแรงปณิธานจะมาร่วมกันหนุนส่งงานธรรม  มีเงินออกเงิน  มีแรงออกแรง  ให้กำลังใจซึ่งกัน  เจ้าดูสิ  ศิษย์ในสำนักตอนนี้ก็มีจำนวนครึ่งหนึ่งที่เป็นจุลโพธิสัตว์ตั้งปณิธานกลับมาเกิดใหม่  พวกเขาก็คือผู้ที่ตั้งมหาปณิธานไว้ในชาติก่อนๆก่อนหน้านี้  แต่เป็นเพราะหลายชาติที่ผ่านมาพวกเขาถูกแรงปรารถนาทางด้านวัตถุยั่วยวนจนทนไม่ไหว  จึงไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง  พวกเขารู้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่มหาธรรมปกโปรด  ดังนั้นจึงเข้าร่วมขบวนกับเซิ่งเทียนถัง  นี่ก็คือโชคชะตาของพวกเขา แล้วหลังจากนี้ก็ยังจะมีศิษย์อีกจำนวนมากที่เข้ามาเพราะเลื่อมใสศรัทธาในธรรม  มีเงินออกเงิน  มีแรงออกแรง  พากเพียรบากบั่น  ร่วมกันอุทิศทุ่มเทเพื่อเรือธรรมเซิ่งเทียนถังลำใหญ่นี้

ไฉ้เซิง : ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็ดีเลย  เพราะนับตั้งแต่ศิษย์ได้รับพระโองการให้เปิดสำนักธรรมเป็นต้นมาก็ยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวไปทำงานอื่นได้เลย  แรงกดดันมากซะจนหายใจหายคอแทบไม่ทัน  ยังมีศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเหล่านี้อีก  พวกเขาล้วนมีจิตศรัทธาที่มั่นคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง  ยังมีสาธุชนคนดีที่มีความมุ่งมั่นอุดมการณ์เดียวกันและมีใจอยากทำงานมาร่วมเป็นคณะกรรมการช่วยหนุนส่งงานธรรมอีก  นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณของฟ้าเบื้องบนที่ทรงเมตตาช่วยเหลือจริงๆ  มิเช่นนั้นแล้วหากอาศัยเพียงแค่กำลังความสามารถของตัวเอง  ถึงที่สุดแล้วย่อมมีขอบเขตจำกัด………….พระอาจารย์ครับ ! วันนี้ไม่ใช่ว่าเรากำลังประพันธ์หนังสือท่องแดนสุขาวดีกันอยู่ใช่ไหมครับ ?  ทำไมตอนนี้เรายังไปไม่ถึงแดนสุขาวดีสักที

พุทธจี้กง : วันนี้เวลาไม่พอแล้ว  ไว้ครั้งหน้าค่อยว่ากัน

ไฉ้เซิง : ก็ดีเหมือนกันนะ !  แต่ว่าแดนสุขาวดีพุทธเกษตรเป็นพุทธภูมิของพระอมิตาภพุทธเจ้า  ถ้าอย่างนั้น เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไม่เป็นการจำกัดแคบไปหน่อยเหรอ ?

พุทธจี้กง : เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?

ไฉ้เซิง : ศิษย์หมายความว่าแดนสุขาวดีเป็นชื่อของแดนวิสุทธิภูมิแดนหนึ่งที่กล่าวไว้ในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน  แต่ว่าในโลกนี้ยังมีศาสนาอื่นอีกหลายศาสนา  ถ้าหากเราแพร่ประกาศเพียงแค่แดนสุขาวดีในศาสนาพุทธให้ชาวโลกได้รู้จักเท่านั้น  จะไม่เป็นการจำกัดแคบไปหน่อยเหรอ ?

พุทธจี้กง : ที่เจ้าพูดมานั้น ถูกต้องแล้ว  ฟ้าไม่ได้มีแค่ฟ้าเดียว ยังมีฟ้าอื่นๆอีก  ดินแดนวิสุทธิภูมิก็ไม่ได้มีแค่ดินแดนเดียว ยังมีดินแดนวิสุทธิภูมิดินแดนอื่นๆอีก  สถานที่ศึกษาบำเพ็ญเพียรก็ไม่ได้มีที่เดียว  ยังมีที่อื่นๆอีก  นามที่ใช้เรียกขานสถานที่ดินแดนเหล่านั้นก็ไม่ได้มีนามเรียกขานเพียงแค่นามเดียว  ยังมีนามเรียกขานนามอื่นๆอีก อย่างเช่น พุทธฝ่ายมหายานมีดินแดนที่ชื่อว่าสุขาวดี  เต๋ามีดินแดนที่เรียกว่าอู๋จี๋ (อนุตตรภูมิ)  คริสต์ก็มีดินแดนที่เรียกว่าสวรรค์  หยูมีดินแดนที่เรียกว่าหลี่เทียน  ดังนั้นนอกจากพาเจ้าไปจาริกแสวงธรรมที่แดนสุขาวดีเพื่อประพันธ์หนังสือเล่มนี้แล้ว  ถ้าหากต่อไปในภายหน้ามีโอกาส  อาจารย์ก็จะพาเจ้าไปเยี่ยมเยียนโลกธาตุอื่นๆบ้าง  เอาล่ะ !  วันนี้พวกเราก็ลองรถกันเพียงเท่านี้

ไฉ้เซิง : ครับ

พุทธจี้กง : ถึงเซิ่งเทียนถังแล้ว  ไฉ้เซิงลงจากบัลลังก์บัว  วิญญาณกลับเข้าร่าง


บันทึกอิทธิฤทธิ์ของ หนังสือเทวราชโองการ

1654918052.jpg
mindcyber
4 months ago
เป็ดย่างเจ

เป็ดย่างเจ

1654918052.jpg
mindcyber
2 years ago

สมบัตินั้นท่านได้แต่ใดมา

1654918052.jpg
mindcyber
11 months ago

ครั้งที่ 20 ตอนท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ ครั้งที่ 2

1654918052.jpg
mindcyber
5 months ago

วงเวียนกรรมของสัตว์โลก ครั้งที่21

ยมบาลอธิบายหนทางหมุนเวียน สัตว์เกิดสี่ช่องทางมาจากข้างประตู

1654918052.jpg
mindcyber
3 months ago