เด็ก ๆเล่นซนอยู่ใด้ต้นไม้นี้กันตั้งแต่เล็ก...ห้อยโหนทึ้งกิ่ง ปีนป่ายกันจนโต
เมื่อร้อนเขานอนเล่นใตขนไม้กัน พลันต่างแพจหลเสริญยษศห้ร่มไม้ เมื่อหนาวเขาสุมไฟ เขาอิงแอบให้ต้นไม้กำบังลมฝน เขาปลิดผลบนต้นกินแก้กระหาย...
เขาบอกกับต้นไม้ว่า “รักต้นไม้นี้มากที่สุดในโลกเลย”
วันเวลาล่วงไป เด็กๆโตแล้ว เขาต่างออกไปสู่โลกใหม่ที่สนุกสนานนานมากที่ไม่ได้กลับมานอนเกลือกกลิ้งใต้ร่มไม้นี้อีก
หลายฤดูใบไม้ผลิและอีกหลายฤดูหนาวผ่านไป ต้นไม้ได้แต่เฝ้าคอยชูยอดชะเงื้อหาอยากให้เด็กๆกลับมาปีนป่ายเช่นวันก่อนเก่า แต่...ได้แต่...รอคอย หงอยเหงา เศร้าใจ ใบตก... ได้แต่...ภาวนาว่า
“จงกลับมาก่อนที่ฉันจะแก่โทรมกว่านี้เถิด”
และแล้ว วันหนึ่งก็มีเสียงคนหนุ่มสาวกลุ่มใหญ่ดังไกล้เข้ามาต้นไม้รีบมองหาใบหน้าของเด็กๆที่เคยชื่นใจทันที ใช่แล้ว..ไช่แล้ว เด็ก ๆขอ’ฉันกับเพื่อน ๆของเขา
เด็กๆเล่าเรื่องราวในอดีตเกี่ยวกับต้นไม้นี้ให้เพื่อนๆฟังแต่ดูเหมือนเพื่อนๆไม่ได้รู้สึกประทับใจกับต้นไม้ต้นนี้ด้วยเลย
เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า “ต้นแก่หลายสิบปีแล้ว ไม่นานก็คงโค่นเป็นฟืน” อีกคนหนึ่งว่า “เรากอบโกยใบไม้แห้งใต้ต้นมาสุมไฟกันเถิด”
ใบไม้ใต้ต้นที่สั่งสมไว้ทีละใบสองใบหลายปี ถูกรวบรวม สุมเป็นกองใหญ่ใต้ต้น
เพลิงไฟลุกโหม เปลวไฟลามเลียจนกิ่งใบเหนือกองไฟกรอบไหม้แต่ต้นไม้ก็ยังสุขใจ
ขอเพียงให้เด็ก ๆ กลับมาใหม่ ต่อไปแม้จะไม่มีใบแห้งให้ได้สุมไฟอีกมากนัก จะตัดกิ่งก้านสด ๆ ราดน้ำมันจุดเป็นกองไฟ ต้นไม้ก็พร้อมที่จะพลี ขอเพียงให้เด็ก ๆ ได้กลับมา
กลับมาอบอุ่นอยู่ใต้ต้นไม้นี้เหมือนคืนันที่เขาจยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ไร้เดียงสา
หยุดเศร้า หยุดเหงา เจ้าเอย มันผ่าน มันเลย เคยเห็น
อย่าหวัง อย่างเลย เคยเป็น มันเช่น เล่นหลอก หยอกกัน
อยุดหวน หยุดทวน ชวนฝัน มันผ่าน มันหาย ไป่หวาน
อย่าหลง จงลืม ปลื้มวาน มันผ่สน นานเนิ่น เกินรอ