“เคราะห์ภัยและโชคดีไม่มีประตู
เพียงแต่คนไขว่คว้าเข้าหาตัวเอง”
คนเราคือ ผู้ที่มีร่างกาย (สังขาร) และจิตใจ (จิตญาณ) ร่วมกันเป็นหนึ่ง ร่างกายเปรียบเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ส่วน
จิตใจก็เปรียบได้กับผู้ขับขี่ เด็กทารกแรกเกิดโดยส่วนใหญ่นั้น จิตใจยังไม่สามารถควบคุมบงการร่างกายได้ตามที่ต้องการ (เปรียบ
ได้กับผู้ที่เพิ่งหัดขับรถ) ไม่สามารถหยิบจับสิ่งของกินเองได้ ไม่สามารถเดินเองได้ ต้องการความช่วยเหลือดูแลจากผู้อื่น
การที่คนตายลง เรียกว่า “ผ่านจากรูปกาย” จิตญาณก็ย่อมหลีกหายออกไปจากร่างกาย ร่างกายเองก็ย่อมเน่าเปื่อยผุพัง
เสื่อมสลายลงในเวลาไม่นานนัก กลับคืนสู่ความเป็นธรรมชาติจึงมีคำกล่าวที่ว่า “ญาณอยู่คนอยู่ ญาณไปคนม้วย”
ในคัมภีร์ทางสายกลาง จงยง ได้กล่าวไว้ว่า “ชีวิตจากฟ้าเรียกว่าจิตญาณ” จิตญาณจึงเป็นสิ่งที่มาจากพระอนุตตรธรรม
มารดาซึ่งสถิตอยู่ที่อนุตตรภูมิแดนนิพพาน และเมื่อลงมาสู่โลกมนุษย์ซึ่งเป็นโลกสามมิติแล้วนั้น ก็ถูกอารมณ์เจ็ดตัณหาหกยั่ว
ย้อมแปดเปื้อนเอา จึงไม่สามารถกลับคืนสู่โฉมหน้าแต่เดิมทีได้กลับต้องไปวนเวียนเกิดตายในชาติกำเนิดสี่ และภูมิวิถีหก พเนจร
เกิดตายว่ายเวียน
ในหนังสือประวัติศาสตร์ สื่อซู ได้บันทึกไว้ว่า “บรรจบกาลชวดเปิดฟ้า บรรจบกาลฉลูเบิกดิน บรรจบกาลขาลเกิดคน”
มนุษยชาติจึงได้อุบัติเกิดกายมาประมาณหกหมื่นกว่าปีแล้ว
เริ่มตั้งแต่สมัยอริยบรรพกษัตริย์ฝูซี จนถึงสมัยของท่านเจียงไท่กง เป็นยุคเขียว สีเขียวเป็นสีที่สำคัญ น้ำมีความรุนแรง
ร้ายกาจที่สุด นั่นคือ “อุทกภัยหลงฮั่น” ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่าขานถึงต้าอวี่ จัดการภัยจากน้ำนั่นเอง และท่านเจียงไท่กงเป็นผู้ทำหน้า
ที่แต่งตั้งเทพเซียนแทนเบื้องบน วิญญาณเดิมที่ได้บำเพ็ญและบรรลุนั้น ก็จะได้ขึ้นไปเสวยมรรคผลยังเบื้องบนแต่ผู้ที่บำเพ็ญ
และยังไม่บรรลุ ก็จะถูกแต่งตั้งเป็นเทพเซียนเพื่อเสวยกลิ่นธูปควันเทียนจากผู้คนบนโลก ส่วนผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญ ก็ได้ประสบภัย
จากน้ำมือของทรราชซังโจ้ว
หลังจากสมัยของท่านเจียงไท่กง เรื่อยมาอีกประมาณสามพันปีเป็นยุคแดง สีแดงเป็นสีที่สำคัญ ไฟมีความรุนแรงร้ายกาจที่
สุดจึงมี “อัคคีภัยชื่อหมิง”
ในปัจจุบันนี้เป็นยุคขาว สีขาวจึงเป็นสีที่สำคัญ เจ้าสาวผู้เข้าพิธีแต่งงานก็สวมชุดวิวาห์สีขาว เป็นยุคที่สารพิษและเชื้อโรครุน
แรงร้ายกาจเป็นที่สุด จึงเกิดมี “วาตภัยเอี๋ยนคัง” วิญญาณเดิมจึงได้บำเพ็ญในเรือนไฟ (ครัวเรือน) สามีและภรรยาสามารถบำเพ็ญ
ร่วมกันได้ โดยมีลูกๆ อยู่ด้วยพร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อให้หลักสัมพันธ์และความดีงามในครัวเรือนสมบูรณ์ครบถ้วน ผู้บำเพ็ญจึงมี
โอกาส “บรรลุธรรมยังเบื้องบน” ซึ่งสะดวกง่ายดายอย่างที่สุด
ในบทกลอนคู่ตรุษจีนนั้นมักเขียนว่า “ฟ้าสันติ ดินสันติ สามยุคเบิกสันติ” ซึ่งก็คือยุคนี้ เวลานี้ และความหมายนี้นั่นเอง
บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญที่ใจ การแสดงออกของจิตญาณก็คือ“ใจ” ตั้งแต่เดิมทีนั้นเป็น “ใจเดิมดีงาม” หรือเรียกว่าเป็น
“ใจเด็กทารก” และยังอาจเรียกได้อีกว่า “ใจธรรม” แต่เมื่อลงมาเกิดกายบนโลกแห่งการเปรียบเทียบคู่แข่งขัน และการแบ่ง
แยกเป็นสภาวะตรงกันข้ามแล้ว จึงเปลี่ยนเป็น “เทพตัวรู้” หรือก็คือ “ใจคน” มีดีมีชั่วหากเข้าไปสู่ภาวะที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย
และก่อประโยชน์แต่ของตน รู้แต่ว่ามีตนเอง และไม่รู้ว่ามีผู้อื่นจึงกลายเป็น “ใจเลือดใจเนื้อ” ซึ่งได้แต่ทำความชั่ว สิ่งใดไม่ชั่ว
ช้าย่อมไม่ทำ
ญาติธรรมในอาณาจักรอนุตตรธรรม เป็นเพราะมีพื้นฐานของการบำเพ็ญบ่มเพาะมาก่อนแล้วสามซาติ (โชคดีสามชาติ)
จึงได้รับ “พุทธพยากรณ์” จากพระวิสุทธิอาจารย์ (หมายถึงได้รับหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์นั่นเอง) ซึ่งเป็นการได้รับรู้ก่อน
จากนั้นจึงบำเพ็ญทีหลัง ได้รู้ถึง “ตำแหน่ง” ที่จะลงมือบำเพ็ญธรรม
แต่ความเป็นจริงก็คือ “พระอาจารย์นำพาเข้าสู่ประตูแต่การบำเพ็ญอยู่ที่แต่ละคน” หากว่าได้รับรู้แล้วแต่กลับไม่
บำเพ็ญ หรือยังบำเพ็ญได้ไม่ดี ความแปดเปื้อนที่มาเกาะติดอยู่ในจิตใจ ยังไม่ได้กำจัดตัดทิ้งให้สะอาดหมดจด เมื่อกลับคืนไปยัง
“พุทธาลัย” แล้ว ก็จะต้องไปผ่าน “สามด่านเก้าทวาร” หรือไปถูกคุมขังอยู่ที่ “คุกสวรรค์” เพื่อบำเพ็ญขัดเกลากันต่อ
บางคนยังถูกตีให้ลงไปยัง “นรกภูมิ” เพื่ออาศัยการลงทัณฑ์และเครื่องมือลงโทษต่างๆ มาขัดเกลาจิตญาณอีกทีหนึ่ง
เหมือนกับน้ำที่สกปรก เมื่อผ่านการกลั่นกรองแล้ว จึงจะสามารถกลับคืนสู่สภาวะสะอาดใสได้เหมือนเดิม เป็นน้ำที่สะอาดไม่มี
สีไม่มีรส
ที่คุกสวรรค์ สามด่านเก้าทวารของพุทธาลัย และนรกภูมิมีเครื่องมือลงโทษอย่างพร้อมสรรพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการ
กลั่นกรองจิตใจให้ใสงามนั่นเอง ที่ในคัมภีร์ไท่ซังกั่นอิ้ง ได้บันทึกว่า “เคราะห์ภัยและโชคดีไม่มีประตู เพียงแต่คนไขว่คว้าเข้าหาตัวเอง” นั้น ก็คือความหมายอย่างนี้เอง
ปุถุชนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น จิตญาณถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในร่างกายสามารถยืดการตอบสนองของเหตุต้นผลกรรมได้ สามารถ
ตัดสินใจได้เองอย่างสมบูรณ์ มีความคิดที่อิสระมาบำเพ็ญแก้ไขความคิดจิตใจที่ไม่สอดคล้องต่อ “มัชฌิมาธรรม” และอุป
นิสัยอารมณ์ของตนเองได้ นี่เป็นความโดดเด่นของ “ยากที่จะได้กายเป็นคน”
ผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จึงควรทะนุถนอมโอกาสเวลาที่ยังคงมีกายสังขารนี้อยู่ ใช้ประโยชน์จากกายนี้อย่างดีงาม หมั่นตรวจ
สอบพิจารณาความคิดจิตใจของตนเสมอๆ ย้อนมองส่องตนทุกขณะเวลา จึงจะไม่ผิดต่อการที่ได้มาเกิดกายบนโลก ไม่เช่นนั้นแล้ว
“เมื่อสูญสิ้นร่างกายคนหมื่นกัปไม่อาจฟื้นคืน” ซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก ขอให้ถือว่าเป็นการส่งเสริมซึ่งกันและกันเถิด
พุทธานุภาพรับเฉินอี๊เป็นศิษย์ ในความเมาธรรมจิตชี้ความไร้แสง