วงเวียนกรรมของสัตว์โลก ครั้งที่7

หลอกทรัพย์ลืมหนี้หนีทางไกล กลับชาติเกิดเป็นวัวควายใช้กรรมหนัก

2024-06-03 04:26:42 - mindcyber

อรหันต์จี้กงเสด็จประทับทรง วันที่ 11 มิถุนายน 2524 กลอนว่า

   การค้าขายยุติธรรมไม่โกงคด

เงินสดสดส่งเขาอย่าหวังเอา

เป็นหนี้แม้สลึงพึงใช้เขา

ผิดเพียงเบาเบาบาปติดตัว

หน้าเป็นคนอย่าทำเยี่ยงสัตว์

เทพซื่อสัตว์เหนือหัวไม่มืดมัว

เนตรทิพย์หลบไม่พ้นเจ้าจงกลัว

ผีหัวหดยังขยาดรู้บาปบุญ

อรหันต์จี้กง :คนที่ค้าขายก็อยากมีกำไร แต่เงินที่ได้ต้องมีธรรมอย่าให้ขัดต่อทำนองคลองธรรม การค้าเป็นเครื่องเลี้ยงชีพไม่เพียงเพื่อปากท้องของตนฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของผู้อื่น การซื้อขายยิ่งต้องยุติธรรม ไม่คดโกงจำนวนต้องชัดเจน เงินที่ได้จึงนับว่าเงินสะอาด ถ้าเธอถูกเพื่อนยืมเงินเมื่อเพื่อนไม่ใช้คืน หนีหนี้ เชื่อแน่เหลือเกินว่าเธอต้องด่าเขาเป็นการใหญ่ คนๆ หนึ่งไม่มีใจบริสุทธิ์ แต่ทว่า! เธอกำลังหลอกลวงชาวบ้านอยู่ รู้สึกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย เฉยๆ เรื่องๆเดียวกัน แต่ใจคนละแบบ อีกคนเป็น “ใจสัตว์” คนเรามักจะตามใจตนเอง ให้ความดีของตนนั้นสูญหาย เปลี่ยนแปลงอารมณ์ เปลี่ยนไปเป็น “อารมณ์สัตว์” ก็เลยกลายเป็นคนชั่วคนเราอย่าลงโทษผู้อื่นว่าดุร้าย จงลงโทษตัวว่าหย่อนยาน ยอมให้ตัวเองถลำจมลง ดังนั้นอาตมาอยากจะฟื้นฟูจิตใจให้กลับบริสุทธิ์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า พวกเราจะไม่เอาดวงใจที่ใสสะอาดจรัสแสงดวงนี้ กลบฝังเสียละ

หยางเซิง :อาจารย์พูดถูก จิตใจตกต่ำ ถูกกลบฝังลงดิน อยากที่จะฟื้นฟู อันนี้สาเหตุเกิดจากอะไรหรือ?

อรหันต์จี้กง :อันนี้เป็นคนใจทราม ไม่รู้เหมือนกันว่ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร อาตมามาถึงมนุษย์โลก พอเดินผ่านใกล้ตัวคน มีกลิ่นเหม็นสาปที่รุนแรงโชยเข้าจมูก พอตั้งสติได้ พิจารณาดูมันไม่ใช่กลิ่นขี้หรือเยี่ยว แต่เป็นเพราะคนๆนั้นจิตใจเปลี่ยนแปลงไป ความชั่วทำให้เกิดกลิ่นบูดเน่า ทำให้ฉันต้องกลั้นใจส่ายหัว! ถึงแม้กลิ่นขี้เยี่ยวจะเหม็น ยังเอาทำปุ๋ยได้ แต่ใจทรามเหม็นเน่า ทำลายตนเอง ทำลายผู้อื่น ประพฤติบาปไม่หยุดหย่อน วันนี้ฉันได้นำห่อดวงใจที่มีตราที่ถูกต้องว่า เป็น “ใจ-บริสุทธิ์” โดยไม่ต้องเสียอัฐเพื่อมาเปลี่ยนใจให้กับชาวโลก ที่มีใจชั่ว ใจเสีย ใจเป็นพิษ ใจเจ็บ ใจพยาบาท และใจทุกข์มาเปลี่ยนไปได้ไม่ต้องแกรงใจ รับรองว่าใจดีๆ ดวงนี้จะทำให้สุขภาพแข็งแรงไม่ทำให้เกิดโรค

หยางเซิง :อาจารย์ว่า วันนี้เอาใจดีๆ มาห่อหนึ่ง ทำไมผมจึงไม่เห็นละ

อรหันต์จี้กง :โบราณกล่าวว่า “คาถาดีไม่ได้เขียนไว้ที่กระดาษ ใจดีก็ไม่ได้อยู่ที่กายเนื้อ” ตัวนั้นชาวบ้านจึงไม่เห็น “ใจบริสุทธิ์” ของตนเอง ดังนั้นจึงกระทำสิ่งที่ชั่วช้า เธอจงดูที่พัดของฉันแล้วเธอก็จะเข้าใจ

หยางเซิง : กลางพัด มีรูปหัวใจกลมๆ อยู่รูปหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่เห็นอะไร

อรหันต์จี้กง :เธอตั้งสติดูให้ดีๆ ฉันใช้นิ้วชี้ไปที่รูปหัวใจดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง

หยางเซิง :อ้อเห็นครับ เห็นว่า กลางพัดนี้เริ่มมีแสงจรัสส่องออกมา ยิ่งส่องยิ่งแรงกล้าจนแสบตา อ้อๆ อาจารย์ หมายความว่า ใจของคน เริ่มที่นั่นจรัสแสงอยู่ ถูกฝุ่นไอ “กิเลส” คลุมบัง ดังนี้จึงถูกกลบไม่เห็น ตอนนี้ถูกอาจารย์จี้กง “ล้าง”ฝุ่นไอ “กิเลส” (โลภ โกรธ หลง) ให้หมดไป ใจบริสุทธิ์จึงมีโอกาสเริ่มจรัสแสง ไม่เช่นนั้น ใจบริสุทธิ์ถูก โลภ โกรธ หลง บดบัง เหมือนเมฆบังดวงจันทร์ ทำให้พื้นดินมืดมิด ท้องฟ้ามืดมัว

อรหันต์จี้กง :อัศจรรย์ไหมละ? ฉันเขียน 0 วงกลมหมายถึงใจบริสุทธิ์ของตน “จิตเดิม” ซึ่งเดิมทีก็สถิตอยู่แดนสุขาวดีพุทธเกษตร เหมือนไข่มุกที่ทอแสงระยิบระยับ แต่พอตกลงมาสู่แดนมนุษย์โลก อายตนะหกถูกสัมผัสด้วยกิเลส ค่อยๆบดบังแสงหมดไป เดินสู่ขุมนรกที่มืด วันนี้ฉันใช้พุทธอิทธิฤทธิ์เสกเป่าคนที่มีใจบริสุทธิ์ นวดถูเสียหน่อยให้กลับกลายมีชีวิตชีวา เพื่อดวงลัาษณะที่แท้จริงของมัน

หยางเซิง :โอ้อัศจรรย์จริงๆ แสงจรัสที่พัด สว่างดังแสงอาทิตย์ ทำให้ทั่วบริเวณสว่างไสว ความมืดหายไปหมด

อรหันต์จี้กง :จิตเดิมเห็นชัดเจน กลับกลายประดุจเมืองสวรรค์ด้านหน้ามีลำแสงใหญ่ เห็นทุกอย่างชัดเจน จากนี้ไปจะได้ไม่หลงใหล ทางที่เรียบราบสว่างไสวทอดอยู่ข้างหน้า สามารถตามหา “จิตเดิม” ที่หายไปกลับคืน ประตูอยู่ในที่มืดแล้วได้ตะเกียงสว่าง ฉันจะขยับพัดไปมา ลมเย็นพัดมา ยิ่งทำให้เกิดเปลวแสงระยิบระยับ! หยางเซิงเตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ

หยางเซิง :ผมนั่งเรียบร้อยแล้วครับ เชิญอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง : ถึงแล้ว

หยางเซิง :วันนี้มาถึงบ้านชาวนา ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน?

อรหันต์จี้กง :ที่นี่คือเมืองไถตง แถบชนบท บ้านนี้ตระกูลลิ้ม วันนี้จะสัมภาษณ์สัตว์เลี้ยงของเขาเป็น “วัว”

หยางเซิง :มาถึงคอกวัว ภายในมีวัวนอนอยู่ตัวหนึ่ง ดูเหมือนมีเสียงคราวแสดงถึงความอ่อนเพลีย ลักษณะไม่รู้ว่า เรามาถึงตัวมันแล้ว

อรหันต์จี้กง :ตอนกลางวันมันทำงานหนัก ร่างกายอ่อนเพลียดังนั้นจึงนอนครางดังๆ ไม่รู้ว่าเรามา ฉันจะปลุกมัน เป่าเสกมัน “เจ้าวัวเอ๋ย” เธอตรากตรำทำงานจนเหนื่อย ไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ไมรู้ว่าชาติก่อนไปทำบาปอะไรมา ชาตินี้ต้องชายชีวิตชดใช้กรรมตื่นเถิดอย่านอนอยู่เลย

หยางเซิง :อาจารย์ใช้คาถาเรียก เอาพัดตีที่หัว เจ้าวัวตื่นจากฝัน ลืมตัวขึ้นมอง น้ำตาไหลรินมองมาทางเรา

อรหันต์จี้กง :วัวเอ๋ย ฉันคือ อรหันต์จี้กง ได้รับเทวโองการให้พานายหยางเซิงมาเที่ยวสามโลก เริ่มจากเมืองนรกเมืองสวรรค์และมนุษย์โลก ตอนนี้จะสอบถามเธอเพื่อแต่งหนังสือเรื่อง “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” ต้องการรู้เรื่องการเป็นวัวของเธอเปิดเผยให้ชาวบ้านได้รู้ เป็นการสร้างกุศล เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเกิดเป็นวัวรับกรรมหนัก

วัว :ขอโทษที่ไร้มารยาท ที่แท้เป็นอรหันต์จี้กงกับผู้ทรงศีล “ท่านหยางเซิง” ผมตื่นจากฝันไม่ทราบว่าเป็นอะไรพอท่านเสกเป่าก็เข้าใจภาษาคนได้ เกิดความเศร้าขึ้นเพราะตอนกลางวันต้องลากรถไถนาเหนื่อยจนจะตาย ทุกข์จนพูดไม่ออก ได้แต่เพิ่มความเร็ว เพื่อวิ่งให้พ้นหนทางโคลนตม คิดถึงชาติที่แล้วไม่น่าทำเลย ผมเป็นคนขายผักในตลาด เพื่อต้องการกำไรมากๆ ขายโกงตาชั่ง แม่บ้านสมัยนี้ค่อนข้างมีเงินไม่เหมือนก่อน เพราะฉะนั้นทุกๆ วันจะได้กำไรผักไม่ต่ำกว่า 20 ชั่ง ต่อมาการค้ายิ่งลำบาก เลยเช่าแผงขายเนื้อวัว เพราะเนื้อวัวราคาแพง กินเนื้อที่น้อย ค่อนข้างสบาย ไม่ต้องไปซื้อผักแล้วมาเลือกผักอีก ในตอนเช้าๆ เพื่อให้ได้กำไรงามๆฉีดน้ำเข้าไปในเนื้อวัว ได้น้ำหนักมากขึ้น ยังไม่พอแค่นั้นยังโกงตาชั่งอีกด้วย แม้จะได้กำไรมากๆ แต่ก็หนีไม่พ้น เหล้ายาปลาปิ้งและการพนัน ดังนั้นทุกวันหลังเที่ยงไม่เมาไม่กลับบ้านคนขี้เหล้าก็คบคนขี้พนัน ความเลวสะสม เพราะฉะนั้นเงินที่หาได้ก็ไม่พอใช้ ก็เริ่มตั้งแชร์ขึ้น พวกขายเนื้อด้วยกันก็เล่นแชร์ด้วย ขึ้นแชร์วงแล้ววงเล่า เงินที่ได้ก็ใช้หมด คิดได้ว่าจะหาเงินจำนวนมากมายเช่นนี้ไม่ได้ เกิดใจชั่วละโมบ เลยย้ายหนีไปไกลๆ พวกร่วมอาชีพถูกผมล้มแชร์ ใจไม่ยอม ติดตามไปทั่วทุกแห่ง มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าหนี้มาพบที่สถานีรถไฟจะหลบก็ไม่พ้น ถูกลากไปชกต่อย ฉันก็เลยคุกเข่าขอร้อง เพราะไม่มีเงินใช้เลย ขอโปรดอภัย เขาเห็นฉันขอร้องเลยหยุดตี สั่งให้ไปใช้หนี้ภายใน 1 อาทิตย์ รับปากว่าได้ พอกลับมาถึงบ้านรีบเก็บข้างของอพยบไปอยู่ที่อื่นพร้อมลูกเมียหนีไปอยู่บ้านนอกทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการขายแรงงาน นิสัยการพนันและติดเหล้าก็เริ่มกำเริบ หลงระเริงอยู่ในวงการพนัน งานการไม่ทำ ในที่สุดเงินหมด ตกตอนกลางคือนก็เที่ยวลักเล็กขโมยน้อย ลักเป็ด ลักไก่ เงินทอง ลักขโมยทุกอย่างเท่าที่จะลักได้ โชคดีที่ไม่ถูกจับได้ เนื่องจากการเป็นอยู่ไม่ปกติ ไม่นานก็เป็นโรคปอดอาเจียนเป็นเลือดรักษาไม่หาย คนที่อยู่ใกล้ก็เริ่มหนีห่าง ร่างกายอ่อนแอ ประกอบการงานไม่ได้ ในที่สุดก็ตายลงด้วยอายุ 52 ปี พอตายลงก็ถูกจับมาลงนรก ยมบาลโกรธจัด ดุด่าตลอดชีวิตไม่เคยทำความดี มีบาปหนักมาก ถูกลงโทษในนรกอยู่หลายขุมหลังจากพ้นโทษจากขุมนรกก็กลับมาเกิดเป็นวัว ต้องทำไร่ไถนาและลากเกวียน ทุกวันตรากตรำไม่น้อย ถูกโบยตีดุด่า จมูกถูกร้อยด้วยเชือก ถูกลากไปจูงมา ไม่ได้รับอิสระ พอเย็นลงกลับบ้านเหนื่อยมาก ต้องนอนในคอกที่แคบๆ ขี้เยี่ยวก็ทับในที่นอนกลิ่นเหม็นไปทั่ว แต่ก็ไม่มีหนทางใดๆก็ต้องนอนไป เพราะกลางวันเหนื่อยมาก ลมฝนสาดใส่ชดใช้กรรมเวร ทุกวันก็กินแต่หญ้า และน้ำยังชีพ เหนื่อยยากแสนเข็ญ ท่านอรหันต์กับคุณหยางช่วยด้วย ผมไม่อยากเป็นวัวเป็นควายอีกแล้ว

อรหันต์จี้กง :เธออย่าเศร้าสลดใจ สร้างบาปมาอย่างไร ก็ก้มหน้ารับกรรมไปอย่างนั้น ขยันขันแข็งอดทนรับงานต่อไป หมดทุกข์เมื่อไร สุขสบายก็จะตามมา ถ้าหากหลบหลีกความจริงก็เหมือนเธอหลบหนี้สินเมื่อชาติก่อน ชาติต่อไปก็ยังต้องชดใช้กรรมอีก เธอได้เล่าความจริงเช่นนี้ ช่วยเตือนสติชาวโลกเป็นการสร้างกุศลอย่างหนึ่ง ฉันก็จะช่วยเหลือเธอ ให้เธอเกิดเป็นคนอีกครั้งชาติหน้า อย่าได้เกิดเป็นวัวควายอีกเลย

หยางเซิง : เห็นแล้วก็น่าสงสาร ต้องทรมานแสนเข็ญ อาจารย์เมตตาได้เสกให้มันได้เกิดเป็นคนชาติหน้า อย่าเดินตามรอยเก่ามิฉะนั้นจะเวียนมาเกิดเป็นสัตว์อีกไม่รู้จักจบสิ้น

อรหันต์จี้กง :กฎแห่งกรรมนั้นน่ากลัวนัก โบราณว่า “ปลูกอะไร ก็ได้อย่างนั้น” เป็นกฎที่แน่นอน พวกเราถือโอกาสจะเล่าเรื่อง “ปลาไม้กับฆ้อนปลาไม้” ให้วัวและชาวโลกฟัง จะได้เป็นอุทาหรณ์อีกอย่าง สมัยก่อนมีชาวนาซื่อสัตย์อยู่คนหนึ่ง ชื่อ “อาเป่า” อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหน้าวัดกวงเม้ง เข้าไปฟังพระเทศน์ธรรมะอยู่เสมอ มีวันหนึ่งตอนพลบค่ำ เขาไปที่นาเพื่อปลอยน้ำเข้านา เขาเห็นงูตัวหนึ่งกำลังจะกินกบตัวหนึ่ง เจ้ากบอยู่ที่ปากของงู ร้องเรียกให้ช่วยชีวิต นายเป่าเห็นดังนั้น ก็เอาจอบตีลงไป เจ้างูปล่อยเจ้ากบ งูก็ไม่ตาย กบก็ไม่ตาย ต่อมาอีกเจ็ดวันในตอนกลางคืนของคืนหนึ่ง ที่เตียงนอนมีเสียงอบๆ ทำให้นายเป่าตื่นขึ้น เขารู้สึกแปลกใจมากทำไมเจ้ากบจึงขึ้นมาอยู่บนเตียงได้ เขาก็ไม่สนใจนอนต่อไป เจ้ากบก็ไม่ยอมหยุดร้อง รบกวนการหลับนอนของเจ้าเป่า จนกระทั่งเจ้าเป่าเกิดโมโหลุกขึ้นจะตะเกียงมองหาเจ้ากบ พอตะเกียงสว่าง เจ้าเป่าถึงกับตกใจ เพราะเห็นงูตัวหนึ่งเป็นงูตัวเดียวที่เขาตีเพื่อช่วยชีวิตเจ้ากบ มาโผล่หัวเข้ามาตามรูทะลุของฝาบ้าง เชิดหัวแลบลิ้นไม่หยุด เป็นเพราะรูฝานั้นเล็กมาก เจ้างูเข้ามาไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าเป่าคงถูกงูกัดตายไปนานแล้ว เจ้างูร้ายต้องการจะแก้แค้น เป็นเพราะเจ้ากบร้องตะเบงลั่น เจ้าเป่าเลยเอาไม้ตีงูจนตาย

ต่อมาหนึ่งปี เจ้าเป่าเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง เติบโตขึ้นมาฉลาดมาก มันฟังคนพูดรู้เรื่อง เฝ้าบ้าน เฝ้าแพะ วัว สร้างความพอใจให้กับเจ้าของมาก ทุกวันจะไปที่นากับนายมัน ไปบนภูเขาบ้าง ไปวัดฟังธรรม มีอยู่วันหนึ่งเจ้าเป่าก็พามันไปที่วัดไปไหว้พระ พระที่วัดเห็นมันเข้าเลยพูดว่า “สาธุ! คู่แค้นคู่อาฆาต ทำเป็นซื่อสัตย์ บุญน้อยบาปหนัก เจ้าเป่าเอ๋ย! เจ้าให้หมาตัวนี้แก่ข้าเถิด ข้าจะให้มันเฝ้าวัด จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมกับเจ้าเสียที เพราะชาติก่อนมันคืองูที่ถูกเจ้าตีตาย มันมาคิดบัญชีกับเจ้า” เจ้าเป่าฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง อดสงสัยไม่ได้ เจ้าหมาแสนรู้ตัวนี้จะเป็นศัตรูของเขาได้อย่างไร? หลวงปู่พูดว่า “เจ้าเป่าเอ๋ย ฉันก็ไม่บังคับเธอ แต่เธอควรเชื่อฟังคำพูดของข้า ฉันเป็นหลวงปู่ไม่โกหกคนหรอก เธอกลับบ้านแล้วจดจำไว้ วันที่ 5 เดือน 5 ตอนเที่ยงวัน เธอทำหุ่นหญ้าตัวหนึ่ง แล้วเอาเสื่อผ้าเธอใส่ วางมันไว้บนเตียงนอนของเธอแล้วเธอก็ต้องหลบซ่อนให้ดีอย่าให้เจ้าหมานี้ได้เห็นเจ้าเด็ดขาด” เจ้าเป่ากลับบ้านแล้วเมื่อถึงเวลาก็จัดแจงตามหลวงปู่สั่ง แล้วซ่อนตนเองไว้หลังเตียง ไม่คอยเชื่อแต่ก็คอยเฝ้ามองดู ไม่ทราบว่าหลวงปู่จะเล่นกลอะไร พอนาฬิกาตี 12 เที่ยงวัน ทันใดนั้นเสียงเห่าดัง โห้ง! โห้ง! แล้วก็มีเสียงดังโครมใส่ที่ประตูแต่ประตูเจ้ายังปิดอยู่ เพล้ง! เสียงเจ้าหมาร้ายกระโจนเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้บานหน้าต่างหัก มันกระโดดเข้ามา ดวงตาแดงกร่ำเบิกกว้าง ลิ้นที่มีเลือดสีแดงติดอยู่แลบออกมาเสียยาวๆ มันเที่ยวดมกลิ่น เหมือนจะกินคน ทันใดนั้นมันกระโดดขึ้นไปบนเตียง ทั้งตะครุบทั้งกัดเจ้าหุ่นฟางตัวนั้นกระจุยกระจาย เจ้าหมาดุร้ายนั้นค่อยๆ สงบลง เหมือนกับมันได้แก้แค้นสมใจ แต่เจ้าเป่าที่ซ่อนอยู่หลังเตียงรู้สึกโกรธขึ้นมาเลยเอาไม้ตะพรตตีเจ้าหมาตาย

ปีต่อมาในฤดูใบไม้ร่วง วันหนึ่งเจ้าเป่ากำลังขึ้นเขาไปตัดไม้ ขณะเดินผ่านวัดกวงเม้ง หลวงปู่ก็พอดียืนอยู่หน้าประตูวัด กำลังดูดวงอาทิตย์ขึ้นพอหันมาเห็นเจ้าเป่า ก็เรียกเจ้าเป่าให้หยุดทันที แล้วพูดว่า “เจ้าเป่าเอ๋ย วันนี้สีหน้าเจ้าไม่ดีเลย ต้องระวังตัวเองให้ดี ถ้ามีใครเรียกชื่อเจ้า เจ้าห้ามขานรับอย่างแน่นอน ต้องจำใส่ใจไว้” เพราะเจ้าเป่าได้บนเรียนของหลวงปู่ก็เชื่อฟังหลวงปู่ดังเทวดา ที่ไหนจะไม่เชื่อละพร้อมกล่าวขอบคุณ เวลาผ่านไปสามชั่วโมง เจ้าเป่าวิ่งหนีเสียหน้าตาตื่นตระหนก ทั้งตัวสั่นเทิ้มไปหมด แขนขาเย็นเฉียบวิ่งมาคุกเข่าพร้อมกับกอดขาหลวงปู่เสียแน่น หลวงปู่พูดว่า “เจ้าเป่าๆ อย่ากลัวๆ พักผ่อนเสียสักครู่ เธอไปเจอะอะไรมา!” ถามพลางก็เช็ดเหงื่อที่ใบหน้าให้พร้อมทั้งนวดที่อกใบหน้าที่เต็มไปด้วยเมตตาอ่อนโยนของหลวงปู่ ค่อยๆ ถามเจ้าเป่า เจ้าเป่าก็เล่าความเป็นมาที่ทำให้เขาตกใจ เล่าเสียยืดยาวครึ่งค่อนวัน “หลวงปู่ครับ ผมเห็นผู้หญิงสวยแต่เป็นงูตอนผมจากหลวงปู่ไป ผมก็เดินเข้าไปคนเดียว อากาศตอนเช้าสดชื่นดีนัก ถูกแสงตะวันขับไล่ ทำให้เกิดบรรยากาศใหม่ๆนกน้อยก็เริ่มร้องเพลง บินไปรอบๆ เจ้าลิงน้อยก็ได้แต่เจี้ยวจ้าวไปทั่ว ผมกำลังหลงไหลอยู่กับธรรมชาติที่งามยิ่ง เกิดความรักภาพภูเขาที่สวยสด จนกระทั่งลืมคำพูดของอาจารย์กำลังหลงเพลินๆอยู่ สุขใจอย่างเหลือคณานับ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเรียกชื่อผม เสียงนั้นอ่อนหวานละมุนละมัยจนเคลิ้มฝัน เหมือนเสียงคนรักอันฉอเลาะ ทำให้ผมสุดจะหักห้ามใจตอบรับเสียงนั้นไปมองตามเสียงนั้นไป ตาก็ประสบพบพักตร์หญิงที่สุดสวยหาใดเปรียบมิได้ในโลกนี้ ผมหลงมองอยู่นานใจสงสัยจะเป็นนางฟ้าลงมาสู่ดิน ขณะนั้นผมก็เห็นตัวของหล่อนเป็นงูใหญ่ตัวหนึ่ง หลวงปู่ขัดจังหวะพูดขึ้น “อาเป่าเจ้าทำไมไม่ฟังคำพูดของข้า” ถึงตอนนี้หลวงปู่ก็ไม่มีความสามารถเธอกลับไปตระเตรียมเรื่องต่อไปได้แล้ว “อาเป่าพูดว่า” หลวงปู่ต้องช่วยผม มิฉะนั้นผมจะยอมตายที่หน้าแท่นพระนี่ละ” พูดจบก็คุกเข่าลงพร้อมทั้งโขกศีรษะลงไม่ยอมหยุด หลวงปู่เลยพูดว่า “เอาเถอะๆ หลวงปู่จะช่วยสุดความสามารถ ลองดูก็แล้วกัน คืนนี้เจ้านั่งอยู่บนแท่นบูชาแล้วเอาแจกันใหญ่ครอบไว้ดูซิว่าจะสามารถพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้ไหม? พอวันรุ่งขึ้นหลวงปู่ก็ไปยังหน้าแท่นบูชา เห็นนางพญางูตัวใหญ่ตัวหนึ่งขอล้อมแจกันอยู่ไว้แน่นไม่ยอมปล่อย แต่งูนั้นตายแล้ว หลวงปู่เลยเอาแจกันย้ายออกมาดู

เจ้าเป่าถูกพิษของนางพญางูอบตาย ตัวดำไปหมดพิษของนางพญางูนี้ช่างร้ายแรง หลวงปู่เลยเอาศพของเจ้าเป่าและนางพญางูไปฝังไว้ที่เดียวกัน หวังให้เขาทั้งสองเลิกลาจองเวรกัน และคืนดีกันใครจะรู้ว่าเวรนั้นผูกง่ายและเลิกจองเวรกันนั้นยาก บนกองกระดูกของเจ้าเป่ามีต้นไม้ขึ้นต้นหนึ่งบนกองกระดูกของนางพญางูก็มีต้นเถาวัลย์ขึ้น เภาวัลย์ก็พันรอบๆ ต้นไม้ เรื่องเดินมาถึงขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมเลิกจองเวรกัน หลวงปู่อยากให้คนรุ่นหลังได้รู้ความร้ายกาจของกรรมย่องตอบสนองกรรมไม่ลดละ ตามกฎแห่งกรรมและเพื่อให้ชาวโลกได้สร้างแต่กรรมดี ลดก่อกรรมชั่วเลยเอาต้นไม้ของเจ้าเป่าแกะเป็นรูปปลา “ปลาไม้ แล้วเอาต้นเถาวัลย์แกะสลักเป็นฆ้อน “ฆ้อนไม้” เพื่อให้เสียงระฆังคงดังต่อไป เพื่อเสียง “ตอบสนอง” ดังกังวาลอยู่หน้าแท่นบูชา เป็นการเตือนสติชาวโลก

ชาวโลกคงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือของชาวบ้านเท่านั้น แต่ภายในนั้นบรรจุด้วยเนื้อหาธรรมะ ให้ระลึกเสมอว่า สัตว์ก็มีวิญญาณแน่นอน

หยางเซิงขึ้นปทุมทิพย์ เตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง :ฟังอาจารย์เล่ารู้สึกมีรสชาด แต่ก็น่าสยดสยองกรรมสนองกรรมนั้นร้ายแรงมาก ชาวโลกควรเตือนสติให้ดีผมนั่งเรียบร้อยแล้วครับ เชิญอาจารย์

อรหันต์จี้กง :ถึงสำนักแล้ว วิญญาณกลับเข้าร่าง

More Posts