ครั้งที่ 4 สัมภาษณ์ฮิตเลอร์และฉินก้วย
2024-07-14 03:13:03 - mindcyber
พระจี้กงประทับทรง วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2527
ท่องอเว เยี่ยมคนดัง ประวัติศาสตร์
คนขายชาติ หลงตน พลาดถลำ
ยามสิ้นชีพ ยํ่านรก ตกระกำ
วิบากกรรม ติดตัว ชั่วกัปกัลป์
พระจี้กง :วันนี้อาตมาจะนำไปเยี่ยมญาติของเธอ
ชิวเซิง :งั้นหรือครับ...ก็เยี่ยมซิ
พระจี้กง :รีบขึ้นดอกบัว ต้องแข่งกับเวลาหน่อย
ชิวเซิง :ศิษย์พร้อมแล้ว อาจารย์...ไปได้
พระจี้กง :ถึงแล้ว ชิวเซิง..ลงจากดอกบัวเร็ว
ชิวเซิง :อาจารย์....เบื้องหน้ามีผู้คนเนืองแน่นกำลังทำอะไรอยู่ครับ ?
พระจี้กง :พวกเขามาชุมนุมกันที่นี่ เพื่อฟังพระโพธิสัตว์แสดงธรรม
ชิวเซิง :ทำไมไม่ไปที่โรงบรรยายธรรมเล่าครับ?
พระจี้กง :เพราะโรงบรรยายธรรมจุคนได้จำกัด แต่ที่นี่เป็นที่โล่งกว้างสามารถจุคนได้มากกว่า นั่นหัวหน้าแดนมาแล้ว ชิวเซิง..รีบไปคารวะ
ชิวเซิง :กระผมชิวเซิงขอคารวะท่านหัวหน้า
หัวหน้า :คุณชิวเซิงลุกขึ้นเถิด เธอดูให้ดีซิ คนข้าง ๆ นี่คือใคร
ชิวเซิง :โอ...ที่แท้คือคุณย่านั่นเอง สวัสดีครับคุณย่า
หญิงชรา :หลานชิวเซิง ที่มีโอกาสได้พบหน้ากันที่นี่ในวันนี้ ก็ด้วยการอนุเคราะห์ของท่านประธานกวนเธอต้องขอบคุณในความเมตตาของท่าน
ชิวเซิง :ตั้งแต่คุณย่าจากไป จนถึงบัดนี้ได้ 60 ปี แล้ว ช่วงระหว่างเวลาอันยาวนานนี้ ท่านไปอยู่ที่ไหนครับ?
หญิงชรา :โอ...เมื่อย่าจากโลกนี้ไป เจ้าพระภูมิได้นำทางไปรายงานตัวที่เมืองยม ตรวจบัญชีพบว่าตอนย่ามีชีวิตอยู่ได้สร้างบาปบุญก้ำกึ่งกัน ท่านยมบาลจึงตัดสินให้ย่าไปอยู่ในแดนสามัญชน แต่เมื่อ 3 ปีก่อน เนื่องจากหลานได้ไปฝึกฝนอบรมธรรมอยู่ในสถานธรรม ได้สร้างกุศลไว้มาก ดังนั้นย่าจึงได้รับการเลื่อนขั้น โดยถูกจัดไปอยู่ฝ่ายวิญญาณกุศล ได้ฟังพระโพธิสัตว์แสดงธรรมอยู่เสมอ และเมื่อไม่นานมานี้หลานยังได้ช่วยเหลือกิจกรรมกุศลของสำนักเซิ่งเทียนในการออกหนังสือธรรมะและแนะนำผู้คนให้หันมาปฏิบัติธรรมด้วยแรงกุศลของหลานอันนี้ ช่วยให้ย่าได้ไปบำเพ็ญเพียรต่อที่ศูนย์อบรมธรรม
พระจี้กง :เอาละ...ชิวเซิงรีบอำลาท่านหัวหน้าและคุณย่าของเธอ
ชิวเซิง :ผมขอล่าท่านหัวหน้าและคุณย่า ขอให้คุณย่าถนอมสุขภาพด้วย
พระจี้กง :นางหวางอย่าได้เสียใจ ขณะนี้ชิวเซิงกำลังช่วยพัฒนางานธรรมะที่สำนักเซิ่งเทียน ให้เจริญก้าวหน้าเป็นการสร้างกุศลยิ่งใหญ่ เพียงแต่ท่านบำเพ็ญเพียรด้วยใจอันสงบ ก็จะช่วยให้ท่านได้มรรคผลอันสูงส่งยิ่งขึ้น
ชิวเซิง :คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกับคุณย่าผู้รักใคร่เอ็นดูผมอย่างที่สุด
พระจี้กง :สงบสติอารมณ์ไว้ เราทั้งสองยังมีภาระสำคัญจะต้องไปที่อื่นอีก รีบขึ้นนั่งดอกบัวเถิด
ชิวเซิง :ครับ...คิดไม่ถึงว่าการออกหนังสือธรรมะและการแนะนำคนให้ปฏิบัติธรรมจะมีกุศลแรงเช่นนี้
พระจี้กง :แน่นอน....อย่างเช่นหนังสือธรรมะอันทรงคุณค่าของสำนักเซิ่งเทียนเหล่านี้ ล้วนแต่สำเร็จเป็นรูปเล่มขึ้นได้ก็โดยการเจียรไนกลั่นกรองของเหล่าเทพ พรหม และการอุทิศแรงกายแรงใจของนายไช่ ผู้เป็นเจ้าสำนัก แม้ต้นทุนจะต่ำแต่ประสิทธิภาพในการโปรดผู้คนนั้นใหญ่หลวงนัก แรงกุศลจึงย่อมประมาณมิได้
ชิวเซิง :แล้วการแนะนำผู้คนให้หันมาปฏิบัติธรรมล่ะครับ
พระจี้กง :การแนะนำผู้คนให้หันมาบำเพ็ญธรรมก็ได้กุศลมากเช่นกัน เพราะฉะนั้นเธออย่าละทิ้งโอกาสอันหายากเช่นนี้
ชิวเซิง :ขอรับ
พระจี้กง :ถึงนรกอเวจีแล้ว ชิวเซิงลืมตาได้
ชิวเซิง :ต้องพบกับภาวะทั้งเหม็น ทั้งร้อน ทั้งมืดอีกแล้วหรือนี่
พระจี้กง :รีบเอา “ยาเม็ดสลายพิษ” นี่กินเข้าไป
ชิวเซิง :อาจารย์ได้มาจากไหนครับ?
พระจี้กง :ฮ่าฮ่า ยาวิเศษอาจารย์เตรียมไว้นานแล้ว
ชิวเซิง :ผมรู้สึกสบายดีขึ้นแล้ว
พระจี้กง :เบื้องหน้านั่นท่านหัวหน้าและพัศดีได้รอคอยอยู่แล้ว เรารีบไปเร็ว
ชิวเซิง :กระผมขอคารวะท่านหัวหน้า วันนี้ได้มารบกวนอีกแล้ว หวังว่าท่านคงให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกอีก
หัวหน้า :ลุกขึ้นเถิด เชิญเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อน
พระจี้กง :คืนนี้มีเวลาจำกัด อาตมาว่าเราไปสัมภาษณ์โดยตรงเลยดีกว่า เพื่อไม่ให้เสียเวลา
หัวหน้า :ก็ดีเหมือนกัน งั้นเราไปกันเลย
ชิวเซิง :จะต้องพบกันภาพอันน่าสยดสยองอีกแล้ว
หัวหน้า :ถึงแล้ว พัศดี...เปิดประตูคุก (ตอนนี้ พระจี้กงล้วงเอาแก้ววิเศษออกมาพลันสว่างไสวไปทั่ว)
ชิวเซิง :โอ....พวกนั้นซีดผอมเหมือนผีเสียบไม้ เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เสื้อผ้าก็ขาดกระรุ่งกระริ่งน่าสังเวชจริง
พระจี้กง :พัศดี... นำวิญญาณบาปออกมาคนหนึ่งเพื่อเป็นข้อมูลบันทึกลงในหนังสือ อ้อ...นำฉินก้วยผู้โด่งดังในประวัติศาสตร์จีนออกมาก็แล้วกัน
พัศดี :ครับผม
ชิวเซิง :คิดไม่ถึงว่า ฉินก้วยขุนนางกังฉินผู้โฉดชั่วก็อยู่นรกขุมนี้ วันนี้ผมจะขอดูหน้าตาอันแท้จริงของเขาสักที ดูซิว่ายังสามารถใส่ร้ายคนได้อีกมั้ย
พัศดี :เรียนท่านจี้กง ได้นำตัวฉินก้วยมาแล้วครับ
วิญญาณบาป :ท่านจี้กง และท่านผู้นี้โปรดช่วยผมด้วย ผมอยู่ที่นี่ทนไม่ไหวแล้ว พวกท่านรีบช่วยให้ผมออกไปทีเถิดไม่ว่าจะให้เป็นควายเป็นม้าผมยินยอมทั้งนั้น
พระจี้กง :ถ้ารู้สำนึกแต่แรก ไฉนต้องเป็นเช่นนี้
ชิวเซิง :เขาวิงวอนน่าสงสารเช่นนี้ อาจารย์ครับ..ท่านมีฤทธานุภาพเกรียงไกร น่าจะช่วยเขาออกไปนะ
พระจี้กง :ศิษย์โง่ ...อย่าพูดเหลวไหล นี่ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะทำลายกฏบัญญัติของเมืองยมโดยพลการได้อย่างไร
ชิวเซิง :ครับ...ครับ...
พระจี้กง :เจ้าจงเล่ามาว่าครั้งเป็นมนุษย์ได้ก่อกรรมอะไรไว้บ้าง เพื่อบันทึกลงในหนังสือศักดิ์สิทธิ์เป็นอุทาหรณ์เตือนสติชาวโลก ถ้าหากหนังสือเล่มนี้โปรดสัตว์ได้ผล จะสามารถเอากุศลนี้ หักล้างความผิดได้บ้าง
วิญญาณบาป :ได้ครับ....ผมคือฉินก้วย เป็นอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. 1503 – 1822) เนื่องจากได้ปรักปรำงักฮุยผู้เป็นขุนนางตงฉิน (ซื่อสัตย์) จึบงถูกตัดสินให้มาอยู่นรกขุมนี้กระทั่งบัดนี้ได้หลายร้อยปีแล้ว อยู่ที่นี่ทุกวันต้องได้รับความทุกข์มรมานจากไออากาศร้อน เวลาหิวก็ดื่มน้ำผุดที่ออกมาจากใต้ดิน ซึ่งเย็นจัดดุจน้ำแข็ง ต้องได้รับความทุข์ทรมานจากสิ่งแวดล้อมนี้ จนไม่อาจทนต่อไปได้อีกแล้วจริง ๆ
พระจี้กง :ใครใช้ให้เจ้าอยากแอบอ้างราชโองการ ใช้ 12 เหรียญทองและปรักปรำคนซื่อสัตย์อย่างงักฮุย อีกอย่างตำแหน่งของเจ้าก็สูงสุดยอดอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักเพียงพอ จิตใจเหมือนเดรัจฉานจริง ๆ บัดนี้จงสงบสติอารมณ์ไว้เถิด
พัศดี :คนผู้นี้ เป็นผู้ที่ถูกนรกขุมต่าง ๆ พิพากษาและรับโทษทัณฑ์จากขุมอื่น ๆ จนครบกำหนดแล้วจึงได้ถูกส่งต่อมายังนรกอเวจีนี่ ทุก ๆ 10 ปี จะต้องถูกส่งไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถูกแล่ชำแหละเนื้อหนังเป็นลาภปากของผู้คน เพื่อชดใช้บาปกรรม
พระจี้กง :เอาละ...นำอดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ปีศาจร้ายผู้ก่อความวุ่นวายแก่โลกขึ้นมาอีกคนซิ
พัศดี :ครับผม
ชิวเซิง :โอ...ที่นี่ไม่ใช่สถานที่อยู่ของมนุษย์เลยจริง ๆ “ยาเม็ดสลายพิษ” ที่อาจารย์ให้ผมกินเมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะหมดฤทธิ์แล้ว ขณะนี้ผมเริ่มจะเหงื่อไหลเต็มตัวอีก ผมทนไม่ไหวแล้วครับ
พระจี้กง :เนื่องจากที่นี่อยู่ใกล้ใจกลางของชั้นแผ่นดินดังนั้นไอร้อนจึงทะลักออกมาไม่ขาดสาย เธอดื่มน้ำทิพย์นี่เข้าไปซิ
ชิวเซิง :ดื่มแล้ว...ตอนนี้รู้สึกสบายดีขึ้น ขอบพระคุณอาจารย์
พัศดี :กราบเรียนท่านจี้กง ได้นำตัวฮิตเล่อร์มาแล้วครับ
พระจี้กง :ขอให้ท่านหัวหน้าช่วยแปลถึงเรื่องที่คนผู้นี้ได้ก่อกรรมไว้ครั้งเป็นมนุษย์ และบรรยายสภาพความเป็นอยู่ของที่นี่
หัวหน้า :ได้ครับ...วิญญาณบาปเล่าว่า “ข้าพเจ้าเติบโตที่ประเทศเยอรมัน มีนิสัยชอบใช้ความรุนแรงตั้งแต่เด็ก ชอบเอาแต่ใจตน เรื่องที่ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วผู้อื่นไม่อาจมายับยั้งได้ พลเมืองที่อยู่ในความปกครองของข้าพเจ้าเพียงแต่ได้ยินคำว่าตำรวจลับ “เกสตาโป” ของนาซี ก็กลัวจนตัวสั่น เพราะการทำงานของพวกนั้นก็คือปฏิบัติการตามล่าสังหาร ตอนมีชีวิตได้ทำลายล้างชนชาติยิว 5 ล้านกว่าคน จนทำให้ชนชาติยิวเกือบสูญเผ่าพันธุ์ ถือได้ว่าเป็นการฆ่าทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มนุษยชาติมาก่อน คิดไม่ถึงว่าเมื่อตายแล้ว จะถูกตัดสินให้ตกนรกอเวจีไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดการ โอย...อยู่ที่นี่ทุกวัน ได้รับแต่ความทุกข์ทรมานจากไอร้อน อากาศเหม็น และทั้งมืดมิดสุดทนจริง ๆ บางครั้งเป็นลมสลบไปก็ถูกพวกนิรยบาล ที่ไร้จิตมนุษย์เอาน้ำคืนวิญญาณสาดให้ข้าพเจ้าฟื้นขึ้นอีก ข้าพเจ้าต้องพบกับภาวะอันเจ็บปวดแสนสาหัสของการตายแล้วฟื้น ๆ อยู่เช่นนี้ท่านอาจารย์ครับ โปรดรีบช่วยข้าพเจ้าออกไปจากที่นี่ด้วยเถิด ถ้าข้าพเจ้าประสบความสำเร็จอีกครั้ง จะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน
พระจี้กง :ไม่ต้องแล้ว หนี้ยังไม่ได้ชดใช้ยังคิดจะตอบแทนบุญคุณ นั่นคือ ความเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนโดยแท้
หัวหน้า :เขาบอกว่าตอบแทนท่านได้แน่นอน
พระจี้กง :อาตมาคิดว่าโอกาสอันนี้ไม่มีอีกแล้ว
พัศดี :แต่ชาวโลกจะมีโอกาสอันนี้
ชิวเซิง :เพราะเหตุใด?
พัศดี :เพราะวิญญาณตนนี้ พออีกไม่กี่ปีก็ต้องถูกส่งไปเกิดเป็นสัตว์เลี้ยง ให้คนฆ่าชำแหละไม่มีหยุด
ชิวเซิง :อ๋อ...เช่นนี้เอง
พระจี้กง :คืนนี้ดึกแล้ว ชิวเซิงรีบอำลาท่านหัวหน้าแดนและพัศดี
ชิวเซิง :ผมขอลาท่านหัวหน้าและท่านพัศดี
หัวหน้าและพัศดี :ขอส่งท่านจี้กงและคุณชิวเซิง
พระจี้กง :ชิวเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว
ชิวเซิง :ศิษย์นั่งเรียบร้อย ไปได้แล้วครับ
พระจี้กง :ถึงสำนักเซิ่งเทียนแล้ว ชิวเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่าง
เทพดาวหลิว:การลิขิตหนังสือของค่ำคืนนี้แสร็จแล้วสานุศิษย์ทุกคนคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยเมื่อครู่นี้ได้รับการแจ้งจากเทพเจ้ากวนว่า จะให้บันทึกคนละ 3 กุศล แก่ผู้ปฏิบัติงานคืนนี้เพื่อเป็นกำลังใจ บัดนี้การประทับทรงลิขิตได้ยุติแล้วสานุศิษย์ทั้งหลายพักผ่อนได้