วงเวียนกรรมของสัตว์โลก ครั้งที่18
ท่านพระครูกล่าวเสียดสีธรรมะต้องตกไปเป็นสัตว์ เจ้าแม่จิตโพธิสัตว์เตือนไหว้เจ้าต้องใช้มังสวิรัติ
2024-06-03 05:13:42 - mindcyber
อรหันต์จี้กงเสด็จประทับทรง วันที่ 31 ธันวาคม 2524 กลอนว่า:
เวียนเกิดสักกี่ครั้งจึงได้เป็นคน
อย่าทำตนเป็นฆาตกรจิตปั่นป่วน
เดรัจฉานโอดไห้ร้องโหยหวน
เนื้อหนังล้วนคาวเลือดสัตว์สังเวย
สัตว์ก็มีจิตเมตตาเหมือนจิตเรา
หมาก็เฝ้าไก่ก็ขันยังรู้คุณเลย
แพะรู้คุณแม่คุกเข่ากินนมเลย
หากเปรียบเปรยสัตว์รู้คุณแล้วคนเล่า
อรหันต์จี้กง :ไก่ทองขันรับรุ่งอรุณ แผ่นดินสงบร่มเย็น สำนักเซินเต๋อถังได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อรับเทวโองการในการจัดทำหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” ประกอบการกับโปรดสัตว์ทั้งสามโลก วันเวลาผ่านไปเร็วมาก เราแต่งหนังสือมาจวนครบปีแล้วในปีใหม่นี้ เรามาเริ่มต้นที่ ไก่โต้ง กันดีกว่า ไก่โต้งรักษาความเที่ยงตรง แต่ก็ไม่อาจหลีกพ้น แม้ลมฝนจะมืดมัวแต่ก็ร้องขันต่อไปไม่หยุดยั้ง ส่วนไก่ตัวเมียออกไข่ได้ เป็นการแพร่พันธุ์รุ่นใหม่อันเป็นธรรมชาติของฟ้าดิน วันนี้เป็นพ่อแม่ของคนอื่น แต่ก่อนก็เป็นลูกของคนอื่นมาก่อน ลูกหลานคนอื่นในวันนี้ วันข้างหน้าก็เป็นพ่อแม่เขา ตั้งแต่โบราณกาลมาพระธรรมสืบทอดติดต่อกันมาไม่หยุดยั้ง ชีวิตก็มีเกิด-ดับอยู่ตลอดไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยเหตุฉะนี้จึงต้องมีการโปรดสรรพสัตว์ขึ้น อาตมาเองก็อยากจะบอกกล่าวไปยังศาสนาทุกศาสนาควรจะละทิ้งความเห็นแก่ตัว ทำใจให้กว้างให้มีความเมตตากรุณา รวบรวมพลังงานช่วยเหลือกัน อย่าเห็นว่า เมื่อผู้อื่นทำริษยาจะเข้าทำลาย(ธรรมะอันยิ่งใหญ่เป็นของส่วนรวม)สวรรค์สำเร็จ ก็มีใจอิจฉาต้องการให้มหาชนมีธรรม มีเมตตาธรรม เพื่อช่วยกันผดุงสัมคม แต่สังเกตศาสนาในปัจจุบันมักกล่าวว่าของตนเองถูกต้องของผู้อื่นผิด กล่าวหากันไม่สิ้นสุดทำให้สูญเสียพลังงานของศาสนาไปออกห่างจากสัจธรรม ก้าวสู่ทางตัน หรือเพราะศาสนาอับโชค ดังนั้นอาตมาอยากฝากคำพูดให้กับชาวโลกว่า การเจริญธรรมหรือฝึกฝนธรรมควรมีใจเที่ยงธรรมเสียก่อน ไม่ใช่เพราะธรรมะไม่เจริญจึงโปรดผู้คนไม่ได้ ซึ่งการพูดเช่นนี้ เพื่อป้องกันคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทำผิดทำนองคลองธรรม จนต้องตกสู่ภูมิสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งอาจจะทำลายผู้อื่นและตนเอง ในช่วงปีที่ผ่านมา อาตมากับหยางเซิงท่องทั่วมนุษย์โลก เพื่อสอบถามสัตว์เดรัจฉาน เพื่อเปิดทางให้เหล่าวิญญาณที่มีชีวิตอยู่ และเป็นการปิดเส้นทางบาปกรรมซึ่งอาจพูดได้ว่า ใจแม่สู้อดทนพร่ำบ่น จากปากเมื่อยปากแฉะจนกว่าน้ำลายจะเหือดแห้งเม็ดทรายจะเกาะแข็งเป็นหิน ด้วยสายใยของศิษย์รัก ทำให้หนังสือเล่มนี้ส่องประกาย ทันการออกสู่สายตาชาวโลก ในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงนี้ เมื่อหนังสือเสร็จสิ้นลง อาตมาจะดีใจมาก ในมนุษย์โลกนี้ก็จะมีหนังสือเพิ่มขึ้นอีกเล่มหนึ่ง ที่ตีแผ่ความจริงของสัตว์เดรัจฉานเอาความลี้ลับของฟ้าดินเปิดเผยต่อชาวโลก จะได้มีแนวทางยึดถือปฏิบัตตาม แม้นสัตว์จะอยู่เคียงข้างมนุษย์ ก็สามารถรู้ใจได้ แม้การเข้าใจจะมีได้น้อยก็ตาม ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน พูดจากันได้ง่ายแต่ก็เข้าใจกันได้น้อย อย่าว่าแต่สัตว์เลย จึงพูดกันว่า “โปรดสัตว์ดีกว่า อย่าโปรดมนุษย์เลย” และ “ช่วยมดดีกว่าช่วยคน” คำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนนี้มีจิตใจโหดเหี้ยม เลวร้าย จิตดั้งเดิมของคนถูกกิเลสบดบัง ไร้คุณค่า ดังนั้นการแต่งหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” จะช่วยปลุกระดมให้จิตของคนตื่นและใสสะอาดขึ้น โบราณกล่าวว่า “ใช้การสังเกตเป็นการะจกเงาก็จะรู้ความจริงและเสื่อมโทรมของอดีตจนถึงปัจจุบัน เอาใจเป็นกระจกก็จะส่องเห็นความดีและความเลวของคนได้” อาตมาว่า “ใช้หนังสือเล่มนี้เป็นกระจกส่อง ก็สามารถแยกคนและสัตว์แตกต่างกันอย่างไร” หยางเซิงเตรียมตัวขึ้นปทุทิพย์
หยางเซิง :ครับผม! ได้ข่าวน่ายินดีจากสวรรค์ว่าหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” ฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ ก็จะเสร็จสิ้นสมความปรารถนาไปอีกเรื่องหนึ่ง
อรหันต์จี้กง :หนทางใหม่ หนังสือใหม่ ก็จะเสร็จลงด้วยความร่วมมือระหว่างศิษย์กับอาจารย์ สร้างผลดีที่สูงส่งอีกครั้งหนึ่ง เป็นความหวังที่ลึกซึ้งของทวยเทพเทวดาทั้งสามโลก มิฉะนั้นน้ำพักน้ำแรงที่เราลงไปก็จะไร้ค่า......
หยางเซิง :คืนนี้ อาจารย์ทำไมนำมาที่ป่าลึกแดนกันดารด้านหน้าก็มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ข้างๆ ถ้ำก็มีหญ้ารกรุงรังดูแล้วน่ากลัวพิลึก?
อรหันต์จี้กง :ที่นี่มีลักษณะเหมือนเมืองนรก เธอกล้าดูไหมล่ะ?
หยางเซิง :กล้าซิครับ เพื่อแต่งหนังสือเตือนสติผู้คน มีคำกล่าวว่า “ไม่เข้าถ้ำเสือ แล้วจะได้ลูกเสืออย่างไร”
อรหันต์จี้กง :ถ้าเช่นนั้น ข้าพาเจ้าเข้าไปดูในถ้ำ
หยางเซิง :โอ้โฮ! ข้างในมีงูเหลือมตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ยังมีกวางป่าแกะป่า หมาป่า และสัตว์ร้ายอยู่ด้วยกันหลายประเภทเห็นแล้วน่ากลัวจัง ทำไมพวกมันจึงอยู่ในถ้ำเดียวกัน จะไม่เกิดการฆ่ากันเองหรือ?
อรหันต์จี้กง :เธอไม่รู้อะไร นี่คือการชุมนุมที่แปลกประหลาดข้าจะให้ยาเม็ด “รู้จิต” เม็ดหนึ่งกินเข้าไปแล้ว เจ้าจะเข้าใจการเจรจาของพวกสัตว์เหล่านี้ได้ ไม่ต้องให้พวกมันแปลงร่างเป็นคน เพื่อประหยัดเวลารีบๆกินยา “รู้จิต” เข้าไปเสีย
หยางเซิง :ขอบคุณอาจารย์ พอกินยาเข้าไป หู้ทั้งสองข้างเคลี่อนไหวเหมือนกลอง เสียงดังโป้งป้างไปหมด
อรหันต์จี้กง :รอสักครู่ เจ้าก็รู้ว่าพวกมันคุยอะไรกันบ้าง
หยางเซิง :เออแน่! หูทั้งสองโล่งเหมือนแก้วใส ได้ยินเสียงสนทนากันภายในถ้ำ....
งูเหลือม:วันนี้พวกเราเข้ามาในถ้ำที่เงียบปลอดภัย พวกเราจะแบ่งเนื้อเจ้าหมีป่าตัวนี้มาเลี้ยงกัน พวกเราชาติก่อนก็เป็นพี่น้องร่วมแก๊งมืดมาด้วยกัน ถึงแม้จะกลับมาเกิดเป็นสัตว์รูปร่างต่างกันแต่วิญญาณความซื่อสัตย์ต่อกันไม่เสื่อมคลาย มีสุขร่วมเสพ พวกเรารีบๆ แบ่งกันกินเถอะ
หมูป่า :พี่งูใหญ่ เรียกพวกเรามาแบ่งกันกินสัตว์ที่ล่ามาได้ตรงนี้ พวกเราลงมือกันเลย ฉันเองเมื่อชาติก่อนก็สละชีวิตเพื่อพี่ใหญ่มาแล้ว ชาตินี้เกิดเป็นหมูป่า ชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่สุขสบาย พวกนายพรานก็วางตาข่ายดักไว้ทั่วไปหมด ไม่เหมือนชีวิตเมื่อตอนเป็นคง ทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งผู้หญิง การพนันทุกๆอย่างสะดวกสบาย ตอนนี้ก็ได้แต่กินรากต้นไม้ เปลือกไม้วันนี้นับว่าโชคดีได้ลาภปากกินมื้อใหญ่สักมื้อ
กวางป่า :ขอบคุณพี่ใหญ่ วันนี้พี่น้องได้รับการเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่แต่ผมเองคิดว่ากินหญ้าอร่อยกว่า ข้าไม่ชอบกินเนื้อหมีเลย
แพะป่า : ฉันเองก็เหมือนพี่กวางป่า เคยกินแต่หญ้าไม่คิดจะกินเลือดเนื้อสัตว์ด้วยกัน ฉันเองก็ไม่รู้สึกชอบพวกเนื้อเลย
สุนัขจิ้งจอก :พวกแกต้องการออกห่างความเป็นเพื่อนเมื่อชาติก่อนหรือ? มีเนื้อกินเนื้อ มีผักกินผัก มีเหล้ากินเหล้า จะฆ่าก็ฆ่า จะตีก็ตี ถ้าหากพวกแกต้องการกินเจ จะไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่คิดว่าคงจะเห็นดีกันแล้ว
งูเหลือม:พวกแกก็ล้วแต่พวกอันธพาล มีเนื้อไม่ยอมกินยังพูดจาอวดดี ถ้าหากไม่ยอมฟังคำสั่งของข้าละก็วันนี้อย่าได้คิดหนีออกจากถ้ำนี้เลย ข้าจะจับเจ้าเอาไว้ แล้วค่อยๆกินเจ้าภายหลัง
กวางป่า :ช่วยด้วย! พวกเราสำนึกบาปบุญคุณโทษ กินเจฝึกฝนธรรม ทำไมจึงพูดว่าไม่ร่วมกินเนื้อกับท่าน ยังกล่าวหาว่าเป็นอันธพาลอีก แล้วยังจะกินพวกเราอีก?
งูเหลือม :ไม่ต้องพูดมาก! ข้าจะกินพวกแกก่อนค่อยพูดคิดไม่ถึงว่า เพียงกลับไปชาติเดียวเท่านั้น ก็เปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้
หยางเซิง :ท่านอาจารย์! อาจารย์รีบๆช่วยเหลือพวกกวางป่าและแพะป่า อ้ายงูตัวนี้กำลังจะอ้าปากแลบลิ้น จะเข้าทำร้ายพวกสัตว์น้ำใจดีแล้วล่ะ
อรหันต์จี้กง :วันนี้มาได้เวลาเหมาะเจาะ อ้ายงูร้ายตัวนี้ไม่รู้สำนึกผิดชาติก่อน ยังดำเนินแผนการร้าย อ้าปากแยกเขี้ยวพิษแลบลิ้น ไม่รู้ว่าในถ้ำนี้มีหินใหญ่ก่อนหนึ่งกำลังจะตกลงมาถ้าหากยังก่อการร้ายต่อไป เพียงขยับเขี้ยว ก็จะถูกก้อนหินหล่นทับ ฝังจมอยู่ในถ้ำมืดแห่งนี้ไม่ต้องได้ผุดได้เกิด ข้าจะใช้เวทย์มนต์ปราบเจ้างูเหลือมตัวนี้เอง
หยางเซิง :เห็นอาจารย์ ท่องคาถาแล้วเอาน้ำในน้ำเต้าสาดใส่บนร่างงูเหลือม ทันใดนั้นเจ้างูเหลือมตัวนั้นก็หมอบแน่นิ่งอยู่กับที่ ยังความตกตะลึงแก่สัตว์อื่นๆด้วย
อรหันต์จี้กง :อ้ายงูร้ายถูกกำราบเรียบร้ายแล้ว เจ้าพวกสัตว์ที่เหลือรีบๆ ออกจากถ้ำไป ให้ปฏิบัตตนให้ดีเพื่ออนาคตจะได้เกิดเป็นคนใหม่ ข้าจะช่วยเสกเจิมให้พวกเจ้าเปลี่ยนแปลงนิสัยใหม่
หยางเซิง :พวกสัตว์เหล่านี้ พอได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนี้ต่างก็ผงกหัวรับรู้ และรู้สึกขอบคุณในการช่วยชีวิตของอาจารย์ต่างก็มุ่งหน้าสู่ปากถ้ำ แยกย้ายกันไป
อรหันต์จี้กง :เจ้างูเหลือมตัวนี้ดุร้ายหาใครเทียม ชาติก่อนก็ชุมนุมก่อตั้งสมาคมมืด คอยเที่ยวรีดนาทาเร้นตามหมู่บ้าน หลอกลวงขมเหงคนดี ข่มขืน ปล้นจี้ ทำร้ายฆ่าคน สร้างบาปหนักมหันต์ พอตายลงก็ต้องเกิดเป็นสัตว์ป่าในป่าทึบ มีบ้างที่กลับเนื้อกลับตัวบ้างก็ยังหลงจมอยู่ในห้วงกรรม เนื่องจากทำบาปหนัก วิญญาณยังชั่วร้ายอยู่ วันนี้ก็พอดีล่าเหยื่อมาได้ เรียกเพื่อนเก่าชุมนุมเลี้ยงสังสรรค์ และเนื่องด้วยมีพวกที่ไม่ยอมกินด้วย เลยทำให้งูเหลือมโกรธ ปัจจุบันในสังคมเรานี้ ก็ยังมิพวกมิจฉาชีพแบบนี้ เป็นการทำร้ายตนเองแล้วยังทำร้ายต่อผู้อื่น ถ้าหากยังกลับเนื้อกลับใจไม่ได้บนถนน วงเวียนกรรมสัตว์โลกย่อมหนีไม่พ้นเป็นแน่ ข้าจะขอให้พระเจ้าเฮี้ยงเทียนได้โปรดมารับตัวงูเหลือมนี้กลับไป
หยางเซิง :อาจารย์ท่องคาถาจบลง ส่งสัญญาณไปทางทิศเหนือ ฉับพลัน พระเจ้าเฮี้ยงเทียนก็ปรากฎลงมาจากฟากฟ้ารูปร่างมีสง่าราศี ผู้พบเห็นจะรู้สึกนอบน้อม
พระเจ้าเฮี้ยงเทียน:ผมจะรับไปสู่สวรรค์ทิศอุดร เพิ่มโทษทัณฑ์ให้หนัก จะได้เข็ดหลาบ ภายหลังเก็บไว้เป็นสมุน
อรหันต์จี้กง :ที่นี่เราเสร็จธุระแล้ว พวกเราไปที่อื่นกันเถอะ
หยางเซิง :ขอรับกระผม ผมขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้วบนปทุมทิพย์เชิญอาจารย์ออกเดินทางได้
อรหันต์จี้กง :ยินดีที่ได้มายังที่นี่ ใคร่แต่งกลอนไว้บทหนึ่ง
เพียรกอบกู้ ผู้คน ยุ่งวันคืน
ต้องทนฝืน อดนอน เร่งสร้างยาน
สำนักทรง เร่งโพธิสัตว์ ให้ประทาน
ทอดสะพาน ให้สัตว์ขึ้น สู่สวรรค์
(เพลินกับแต่งกลอน ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็มาถึง หมู่บ้านคลองเหนือ)
หยางเซิง :มาถึงที่นี่ทำไมได้ยินเสียงไก่ขันมาทันที เรียนถามอาจารย์ ไม่ทราบว่าไก่ทำไมถึงขันตอนกลางคืน ไม่ขันตอนกลางวันหรือ?
อรหันต์จี้กง :คงต้องมีเรื่องอะไร เราเข้าไปดูให้รู้แน่ อ้อ! บ้านนี้คนแซ่ลิ้ม เลี้ยงไก่ไว้ เราเข้าไปใกล้เล้าไก่กันเถอะ
หยางเซิง :หลังบ้านมีเล้าไก่เล็กๆ อยู่เล้าหนึ่ง เลี้ยงไก่ไว้ประมาณสิบตัว เอ! อาจารย์ครับ เรามาที่นี่ตอนกลางคืนอย่างนี้เดี๋ยวใครเห็นเข้า จะร้องว่า ขโมย! ขโมย! แล้วกล่าวหาว่าเราขโมยไก่ จะว่าอย่างไร?
อรหันต์จี้กง :เธอลืมไปหรือว่า เราเป็นกายทิพย์ พวกเขาไม่เห็นเราหรอก เธอสบายใจได้
หยางเซิง :ไก่โต้งตัวนี้เริ่มขันอีก รู้สึกแปลกๆ เสียงไก่ขันฟังดูแล้วเหมือนเสียงเจ็บปวด ยังกับว่าเรียกร้องให้ช่วยชีวิต
อรหันต์จี้กง :ตอนที่เธออยู่ที่ถ้ำ เธอได้กินยา “รู้จิต” ฤทธิ์ยายังไม่หมดไป เพราะฉะนั้น เธอจึงฟังเสียงไก่ขันออกว่า มันเรียกร้องให้ช่วยชีวิต ฉันจะรีบเจิมให้มันก่อน แล้วค่อยสอบถามทีหลัง “ไก่โต้ง ไก่โต้อง ทำไมจึงขันกลางคืน คงมีเรื่องทุกข์ร้อยในใจ จึงเจ็บปวดทรมานอย่างนี้!” ใครใช้ให้เจ้าสามหาวเมื่อชาติก่อน พูดจากล่าวร้ายป้ายสีจนได้ใจ ได้รับการเลี้ยงดูก็ลืมบุญคุณ ชาตินี้เป็นไก่ก็เอาแต่ร้องขานโวยวาย วันนี้ข้ามาที่นี่จะมาโปรดเจ้า รีบๆ เล่าเรื่องที่ผ่านมา
หยางเซิง :เจ้าไก่ตัวนี้ พอฟังอาจารย์เทศน์จบ ก็หยุดขันได้แต่ก้มหน้ารู้สำนึก!
อรหันต์จี้กง :เธอเริ่มสัมภาษณ์เขาได้แล้ว!
หยางเซิง :ขอถามไก่โต้งหน่อย ทำไมถึงได้เกิดมาเป็นไก่ล่ะ!
ไก่โต้ง :อมิตพุทธ บาปกรรม! บาปกรรม! ข้าพเจ้าชาติก่อนเป็นผู้ออกบวช ผู้คนเขายกย่อง ข้าเป็นอาจารย์ เนื่องจากได้อ่านหนังสือมาบ้าง ก็เที่ยวเทศนาสั่งสอน ทั้งเขียนบทความวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับศาสนานอกรีด ตอนนั้นก็เข้าใจตนเองยึดถือหลักธรรมที่เที่ยงแท้ ผู้อื่นที่ไม่เหมือนตนนั้น นอกรีตเป็นยักษ์เป็นมาร บอกผู้คนไม่ให้นับถือ ไม่ให้กราบไหว้ รวมทั้งผู้ถือเจ้าเข้าทรง ล้วนแล้วแต่เป็นมาร เป็นภัยทั้งนั้น นอกจากศาสนาของตนเท่านั้น ที่เที่ยงแท้ก็ควรนับถือตลอดชีวิต แม้จะมีการถือศีลสวดมนต์ ก็ยังใช้คมปากกาที่คมเกินไป เที่ยวฟาดฟันผู้อื่นอย่างไร้ความปราณี ก็เท่ากับการละเมิดศีลข้าที่หนึ่ง การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พอจบชีวิตลง ก็รู้ว่าศาสนาพุทธอันยิ่งใหญ่ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รวมอยู่ด้วย ใช่ว่าคนที่ผิวพรรณต่างกันก็ถือว่าเป็นผี เป็นมาร ศาสนาต่างกันก็ถือว่านอกรีต แต่รู้สำนึกก็สายเสียแล้ว ได้เห็นพระที่มีธรรมะสูงส่งมากมาย เนื่องจากมีความอดทน ได้สละเวลาทั้งหมดเพื่อสำรวจความผิดบกพร่องของตนเองก็ยังไม่พอ จะหามีเวลาว่างไปตำหนิติเตียนเรื่องของผู้อื่นก็หาไม่ ดังนั้น เมื่อนิพพานแล้วต่างก้ไปสถิตย์อยู่สุขาวดีแดนพุทธเกษตร เนื่องจากผิดศีลข้อที่หนึ่ง ด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหนักมากจึงได้เวียนเกิดเป็นไก่ทุกวันได้แต่ขันร้องครวญครางสำนึกผิด แต่เนื่องจากบุญบารมีที่สร้างสมมายังพอมี จึงรู้ว่า วันนี้ท่านอรหันต์จี้กงจะเสด็จผ่านมาทางนี้ จึงได้ร้องขันขึ้นมาตอนกลางคืน วันนี้ก็ได้สาธยายความผิดชาติก่อนแล้ว ขอร้องท่านที่นับถือต่างศาสนา ควรจะมีจิตใจที่กว้างขวางต่อผู้คนในศาสนาอื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มิฉะนั้นก็จะขัดกับหลักการสอนของศาสนา ซึ่งล้วนเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ก็ต้องตกอยู่ในความชั่วร้ายสามอย่าง ข้าพเจ้าเล่าเรื่องชาติก่อนให้ฟังหมดแล้ว ขอท่านอรหันต์ได้โปรดช่วยด้วย
อรหันต์จี้กง :เจริญพร! หลงทางกลับใจได้ ก็น่าจะช่วยเหลือชาติก่อนเธอได้รับการเลี้ยงดูจากพวกนอกศาสนา แล้วเที่ยวดูถูกผู้มีคุณว่าเป็นมาร ปากก็เที่ยวกล่าวร้ายป้ายสี ชาตินี้เจ้าได้มีโอกาสแสดงความดี จงรู้ไว้ด้วยว่า พุทธนั้นเสมอภาค แต่ละศาสนาไม่สอนผิดๆ “บาปทั้งปวงไม่ควรก่อ บุญทั้งหลายควรสร้าง” ต้องยกย่องซึ่งกันและกัน ผู้ออกบวชต้องยึดถือความเมตตากรุณา แม้แต่มดเล็กๆ ก็ยังต้องปล่อยวางต่อผู้คนศาสนาอื่น ถ้าไปกล่าวร้ายป้ายสี ก็จะสูญเสียความเป็นพุทธ อยากให้ชาวพุทธพึงระมัดระวังให้จงหนัก โลกปัจจุบันนี้ศาสนากับวิทยาการมีความสัมพันธ์กันดังมิตรภาพไม่เหมือนสมัยก่อนที่ถูกควบคุม ตนเองจะอยู่เหนือฟ้าและถูกจิต ความมั่นใจของมนุษย์ให้สูงขึ้นมา เมื่อเจ้ารู้สำนึกแล้วก็ดีภานในสามวันชะตาชีวิตก็ถึงคาดจะตายลงเอง เจ้าของก็จะไม่กินเจ้า เอาไปทิ้ง เจ้าไม่ต้องถูกคมมีด น้ำมันลวก แล้วก็จะได้ไปเกิดเป็นคน มีคนได้เข้าบวชในพุทธศาสนา แต่ชาติหน้าเจ้าไม่ฉลาดคล่องแคล่ว ออกบวชแล้วนิสัยก็จะซื่อทื่อดังท่อนไม้ได้แต่ทำความสะอาดพุทธสถานและท่องสวด จะได้ไม่ต้องก่อบาปขึ้นมาอีก
ไก่โต้ง :ขอบคุณท่านอรหันต์ที่ช่วยเหลือ
อรหันต์จี้กง :เราเตรียมตัวไปยังศาลเจ้า “เฉี่ยวเทียนเกง” ไปกราบไหว้เจ้าแม่กวนซีอิม “หม่าโจ้ว”
หยางเซิง :ขอรับ! ท่านอาจารย์ทำไมคิดจะไปไหว้เจ้าแม่กวนซีอิม
อรหันต์จี้กง :เจ้าแม่ช่วยเหลือมนุษย์เทวดาไว้มาก เราไปคารวะสัมภาษณ์ถึงการเซ่นไหว้ของจังหวัดนี้ จะได้ให้ผู้คนไว้พิจารณา
หยางเซิง :ท่านอาจารย์คิดรอบคอบดีจริง ผมนั่งเรียบร้อยแล้วเชิญอาจารย์ออกเดินทางได้
อรหันต์จี้กง :มาถึงยังศาลเจ้า “เฉี่ยวเทียนเกง” แล้ว พอดีเป็นยามดึก ผู้คนและกลิ่นธูปหมดไปแล้วพวกเราเข้าไปคารวะเจ้าแม่กันเถอะ
หยางเซิง :ศาลเจ้านี้ผมเคยมา 2 ครั้งแล้ว เนื่องจากเจ้าแม่ศักดิ์สิทธิ์ วันปกติก็จะมีผู้คนแน่นไปหมด ควันธูปตลบอบอวลตามอาจารย์เข้าไปในศาลเจ้า แลเห็นเจ้าแม่นั่งอยู่ตรงกลางขุนพลตาทิพย์ออกมาต้อนรับ
ขุนพลตาทิพย์และขุนพลหูทิพย์ :ขอต้อนรับท่านอรหันต์และคุณหยางเซิงสำนักเซินเต๋อถัง ที่มาเยือน ขอเชิญข้างใน
อรหันต์จี้กง :ขอบคุณท่านขุนพลที่แสดงคารวะ
หยางเซิง :ท่านขุนพลที่แสดงคารวะข้ารับไม่ไหว
ขุนพลหูทิพย์:แลเห็นท่านทั้งสองตั้งแต่อยู่ไกลพันลี้ ที่ให้เกียรติมาเยี่ยม ยินดีต้อนรับ
ขุนพลตาทิพย์:ได้ยินเสียงของท่านทั้งสองตั้งแต่ไกลพันลี้ ยินดีต้อนรับ
หยางเซิง :ท่านขุนพลทั้งสองมีฤทธิ์เดชอนันต์
อรหันต์จี้กง :เจ้าแม่ก็คือ ท่านโพธิสัตว์กวนซีอิม แห่งประเทศจีนทั้งสองข้างของพระองค์มีขุนพลตาทิพย์ และขุนพลหูทิพย์นี่เป็นรูปเจ้าแม่ “กวนซีอิม”
หยางเซิง :อ๋อ! เรื่องเป็นอย่างนี้เอง ข้าน้อยเป็นคงทรงสำนักเซินเต๋อถัง ติดตามอาจารย์มาคารวะท่านเจ้าแม่ ขอท่านเจ้าแม่โปรดรับการคารวะด้วย
เจ้าแม่:หยางเซิงไม่ต้องคารวะ ยินดีต้อนรับท่านอรหันต์จี้กงและ หยางเซิงที่ให้เกียรติมาเยี่ยม
อรหันต์จี้กง :เนื่องจากศิษย์อาจารย์ได้รับโองการให้แต่งหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” เพื่อแก้ไขนิสัยทางเซ่นไหว้ของผู้คน ขอเชิญเจ้าแม่ชี้แนะ
เจ้าแม่ :ผู้คนมาจากทุกสารทิศมากมาย อันนี้แสดงถึงความอิสระเสรี ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข จึงมีเวลาว่างพอที่จะไปนมัสการทุกหนแห่ง มีการทัศนาจรขึ้น การนมัสการไหว้พระมีประโยชน์ต่อจิตใจและร่างกาย แต่เพื่อความสะอาดอนามัยและไม่สุร่ยสุร่าย การไหว้พระไหว้เจ้าไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิตควรเปลี่ยนมาใช้ดอกไม้สด ผลไม้ ไม่เพียงแต่ประหยัดเท่านั้นยังได้รับผลทางวิญญาณและจิตใจ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้พิมพ์หนังสือแจก กล่าวว่า “เจ้าแม่นั้นถือมังสวิรัติ อย่าฆ่าสัตว์เอามาไหว้” รู้สึกถูกใจข้ามากและสามารถเอาไปตีพิมพ์ในหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก”ช่วยสงวนชีวิตสัตว์ ทั้งยังเป็นหนังสือ “ร้องทุกข์” ของพวกสัตว์อีกด้วย
หยางเซิง :ขอบพระคุณเจ้าแม่ที่ประทานโอวาท ทำให้หนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” มีคุณค่าเพิ่มขึ้นมาก
หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน
เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเซ่นไหว้
ประวัติเจ้าแม่เป็นชาวเมืองมี้จิว อำเภอโป้วชั้ง มณฑลฮกเฮี้ยน ในสมัยราชวงศ์ซ้องชื่อฮุ้งมิก แซ่ลิ้ม ตั้งแต่เล็กก็กินเจสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกฝนความเพียรจนบรรลุนิพพาน ได้รับราชโองการจาเง็กอ้วงฮ่องเต้ ให้เป็นเจ้าแม่เห่งสรวงสวรรค์ โดยปกติมักอวตารมาช่วยชาวประมงอยู่เป็นนิจด้วยเหตุฉะนี้ ชาวเมืองทางมณฑลตะวันออกเฉียงใต้จึงนับถือยิ่งนัก เจ้าแม่มีความเมตตา กรุณาผู้สวดอ้อนวอนมักจะได้รับการช่วยเหลือ มีปรากฎเป็นหลักฐานสืบทอดกันมานับร้อยๆปี จึงเป็นที่นับถือของชาวประมงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ชาวประมงจึงเซ่นไหว้และนับถือเป็น “เจ้าแห่งท้องสมุทร”
ไม่กี่ปีมานี้ ด้วยการปกครองของรัฐบาลไต้หวัน ทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมั่งมีศรีสุข ถึงแม้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าก็ตาม แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่ได้เป็นชาวประมงก็พากันเคารพนับถือมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากคมนาคมสะดวก ศาลเจ้าทุกแห่งจะมีพวกนับถือไปกราบไหว้มากมาย โดยเฉพาะวันคล้ายวันเกิดในวันที่ 23 เดือนสามของปฏิทินจันทราคติ จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
อย่างไรก็ตาม พวกที่นับถืออย่างจริงใจ ก็ยังมีความผิดพลาดที่มหันต์อยู่อันหนึ่งนั้นก็คือ เมื่อเจ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแม่ถือมังสวิรัติแต่ปัจจุบัน พวกสาธุชนก็ยังคงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอาสัตว์ไปเซ่นไหว้เจ้าแม่แม้จะได้รับการเซ่นไหว้เช่นนี้ แต่เจ้าแม่รับไม่ได้ ยังไม่พอเจ้าแม่ทุกข์โศกหลั่งน้ำตาสงสารเหล่านั้นที่ถูกฆ่า อันนี้เป็นนิสัยที่สืบทอดมา และก็ไม่มีใครแนะนำชักจูงให้ใช้ใช้ดอกไม้สดและผลไม้มาเซ่นไหว้ก็พอ
เนื่องจากเจ้าแม่มีมหาเมตตา กรุณา ช่วยเหลือมวลมนุษย์มากมาย ให้พ้นจากเคราะห์กรรม ถ้าหากพวกเราจะตอบแทนบุญคุณเจ้าแม่ นับถือเจ้าแม่ละก็ พยายามทำความดีก่อกุศล ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสังคม จึงจะเป็นที่ต้องประสงค์ ประกอบความเพียรและกินเจ ถ้าจะมากราบไหว้ที่ศาลเจ้า ก็ควรกินเจอาบน้ำให้สะอาดจิตใจผ่องใสสำรวมมารยาทเพียงคำนับ หรือไหว้ หรือคุกเข่าไหว้ก็ตาม จิตใจเต็มไปด้วยความนับถือ เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้วทำไมต้องตัดชีวิตสัตว์มาเซ่นไหว้? หรือพวกที่อยากจะขอความเมตตาให้ช่วยเหลือเพียงธูปเทียนดอกไม้ และผลไม้แล้วนั่งอธิษฐานแสดงความในใจเจ้าแม่ก็จะรับรู้ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องฆ่าสัตว์อีกเล่า? หากว่าระลึกถึงบุญคุณ เมื่อเข้ามายังศาลเจ้าแล้วกล่าวถวายสิ่งที่ปฏิบัติดีคุณธรรมที่สร้างไว้กราบเรียนต่อหน้าเจ้าแม่ก็จะเป็นที่ชื่นชมของเจ้าแม่มาก? ดีกว่าต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทองมาไหว้เจ้าแม่ซึ่งท่านไม่ได้ใช้? หากจะฉลองวันคล้ายวันเกิดของเจ้าแม่ ยิ่งไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นอันขาด มีประวัติกล่าวว่า ตอนเจ้าแม่มีชีวิตอยู่ในโลกเป็นลูกที่กตัญญูมาก วันลาโลกของแม่ จะต้องสวดมนต์สักการะบูชาพระ เพื่ออุทิศกุศลให้พ่อแม่มีอายุยืนยาว แต่ทุกวันนี้ เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่มีการฆ่าสัตว์เป็นการใหญ่ เป็นวันที่สูญเสียชีวิตสัตว์ แล้วเอาสัตว์นั้นมาไว้บนโต๊ะบูชา เพื่อขพรให้อายุพ่อแม่ยืนยาว หรือขอพรกับเจ้าแม่ หรือเอามาแก้บนต่อเทพเจ้า ยิ่งดุน่าเศร้าสลด แม้แต่มดน้อยตัวหนึ่งที่ไร้ปัญญา เจ้าแม่ก็ยังเมตตาไม่ถือโทษ เจ้าแม่ผู้มีมหาเมตตาจะไม่เศร้าสลดใจได้อย่างไร? กับการกระทำข้างต้นนี้
เจริญพร! สวรรค์อยากเอ่ยแต่ไม่มีวจี อยากพูดก็ไม่มีเสียงมีใครรู้บ้างไหมว่าวันคล้ายวันเกิด เจ้าแม่เพ่งมองมายังเบื้องล่างสรรพสัตว์ไม่ยอมฝึกฝนความเพียร เอาแต่เล่ห์เหลี่ยมต้มตุ๋นเงินทองไม่สะสมบุญบารมี ตรงกันข้ามก็เอาแต่ขอให้พระช่วยเหลือ หรือถามหมอดูวุ่นวายไม่หยุดหย่อน สูญเปล่าไปชั่วชีวิต ตกอยู่ในทะเลทุกข์วนเวียนไม่จบ ตอนนี้จิตของเจ้าแม่คงทุกข์โศกยิ่งมิใช่หรือ?และยิ่งได้เห็นวันคล้ายวันเกิดของตนเอง ผู้คนกลับสร้างบาปก่อเวรหนักยิ่งขึ้น (ฆ่าสัตว์เอามาเซ่นไหว้) ชาวบ้านไม่เข้าใจ “กฎแห่งกรรม”กันเลย ตรงข้ามซากสัตว์บนโต๊ะบูชา เอามาขอบุญต่อชีวิต เจ้าแม่ก็ได้แต่เศร้าเสียใจหลั่งน้ำตามิใช่หรือ? ดังนั้นจึงใคร่วิงวอนผู้คนที่อยากกราบไหว้เจ้าแม่ จงประพฤติแต่กรรมดี อ้อมอกสวรรค์แผ่กรุณา โดยเฉพาะผู้ที่จะตอบแทนเจ้าแม่ ควรประพฤติดีต่อสังคม สร้างคุณงามความดี ตัดโลภโกรธหลง เคารพฟ้าดินเคารพเจ้าเทวดาเคารพพ่อแม่ เคารพบัณฑิต ต้องไม่พูดกล่าวร้ายพูดแต่ความดีอย่าพูดปลิ้นปล้อน อย่าพูดส่อเสียด จงพูดแต่หลักธรรมตักเตือนให้ผู้อื่นประพฤติดี รักษาศีล ประกอบความเพียร ถ้าจะสร้างบุญบารมี ก็จงบริจาค ข้าว โลงศพ สร้างสะพาน สร้างทางซ่อมสร้างศาลเจ้าวัดวาอาราม สร้างพระ พิมพ์หนังสือธรรมะบริจาคทรัพย์อย่าขี้เหนียว ออกแรงก็ไม่บ่น ไม่คิดให้ผลตอบแทนไม่ต้องให้คนรู้ ทำบุญอยู่ตลอดถ้าหากอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช้แต่มังสวิรัติ เช่น ขนมท้อ เส้นหมี่ ผลไม้ ถ้าหากใคร่ใช้สัตว์ ก็ใช้ถั่วทำรูปจำลองร่างสัตว์ ไม่ควรฆ่าสัตว์ต่างๆ เหล่านี้ แม้จะไม่ขอพรสวรรค์ก็บันดาลให้ เจ้าแม่ก็คุ้มครองด้วย
ถ้าหากจิตศรัทธา ก็ใช้อาหารเจและผลไม้
ถ้าหากท่านอยากจะเลี้ยงแขกที่กินเจสักคนหนึ่ง แต่ท่านก็เอาอาหารเนื้อสัตว์มาเลี้ยง ท่านลองคิดดูซิว่า แขกผู้นั้นจะกล้ากินหรือ? การกระทำเช่นนี้จะมีความเกรงใจหรือไม่?
เหตุผลก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากเธอรู้ว่าเจ้าแม่เป็นผู้ถือมังสาวิรัติแล้วเราเอาอาหารเนื้อไปเซ่นไหว้ เธอคิดดูว่าเจ้าแม่จะรับหรือ? แล้วเรายังนับว่าเคารพนับถือหรือ? แต่ก็มีคนพูดว่า ลูกศิษย์ลูกหาของเจ้าแม่อาจกินเนื้อ แต่ชื่อที่เราเซ่นไหว้ก็คงเป็นชื่อของเจ้าแม่มิใช่หรือ? ดังนั้น “ถ้าหากเป็นเทพเทวดา ก็ต้องไม่เสพเนื้อสัตว์” เทพเทวดาที่เที่ยงธรรม ย่อมพอใจลูกศิษย์ลูกหากราบไหว้แต่ของเจงดเว้นการฆ่าสัตว์ เพื่อตอบแทนฟ้าดินที่รักทุกชีวิต เมื่อเจ้าแม่ถือเจลูกศิษย์ลูกหาย่อมได้รับการขัดเกลา อบรมบ่มนิสัยจากเจ้าแม่มานานแล้ว ก็ย่อมไม่ชอบเสพเนื้อ มิฉะนั้นจะได้รับเป็นลูกศิษย์เจ้าแม่หรอกหรือ ดังนั้น เมื่อเธอมีจิตศรัทธาจริงก็จงใช้อาหารเจไหว้พระ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระแน่นอน
ถามไม่ตอบ เนื่องจากไม่ควรใช้ซากสัตว์
ประมาณ 2 ปี ได้ยินเขาเล่าว่า ในหมู่บ้านฮกเฮงมีบ้านแซ่อึ้ง เป็นครอบครัวที่ซื่อสัตว์และประพฤติธรรมอันดีงาม มีแม่ผัวและลูกสะใภ้ 2 คน ใช้อาหารเจไหว้พระ เนื่องจากในครอบครัวมีคนกินเนื้ออยู่มาก ปีนั้นวันคล้ายวันเกิดของเจ้าแม่ ลูกสะใภ้คนเล็กของตระกูลอึ้ง ได้เตรียมเป็ดไก่ไปไหว้เจ้าแม่ชุดหนึ่งไปไหว้เจ้าแม่ที่ศาลเจ้า พอไหว้เสร็จก็เอาไม้ปวย (คือไม้คู่รูปร่างคล้ายรูปไต่ผ่าซีกมักวางไว้บนโต๊ะบูชา ใกล้ๆกับกระบอกเซียมซีมีไว้ใช้ถามเจ้าว่าดีหรือว่าไม่ดี ได้หรือไม่ได้ โดยการโยนไม้คู่ขึ้นไปบนอากาศแล้วปล่อยให้ตกลงมายังพื้น ถ้าไม้ข้างหนึ่งหงาย อีกข้างหนึ่งคว่ำ ก็ถือว่าเจ้าเห็นด้วย หรือว่าดี หรือได้ แล้วแต่คำถามถ้าไม้ออกมาในรูปคว่ำทั้งสองอันแสดงว่า ไม่ตอบ ถ้าไม้หงายทั้งคู่แสดงว่าไม่เห็นด้วย)ขึ้นมา ทำท่าไหว้ แล้วก็ถามเจ้าแม่ไปว่าของที่นำมาไหว้นี้ พอใจหรือไม่ ผลปรากฎว่าไม่ทรงตอบ แม้จะโยนสักกี่ครั้งๆ ก็คงเหมือนเดิม เลยถามว่า กระดาษเงินกระดาษทองน้อยไปหรือ? ก็ไม่ใช่เพราะลืมเอาเหล้ามาถวายใช่หรือไม่? ก็ไม่ตอบ หรือไก่ที่นำมาไหว้เล็กไปหรือ? ก็ไม่ใช่ หรือเพราะของที่นำมาไหว้น้อยไปหรือ? ก็ไม่ใช่ ถามไปถามมา คิดไม่ออกฉับพลันจิตใต้สำนึกก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เลยถามไปว่า “เป็นเพราะว่าศิษย์กับแม่ย่ากินเจ แล้วนำอาหารสัตว์มาไหว้ เจ้าแม่ไม่พอใจใช่หรือไม่ถ้าใช่ก็โปรดตอบ” พอถามเสร็จก็โยนไม้ปวย ปรากฎว่าไม้คว่ำหงายอัน แสดงว่า “ใช่”เธอรู้สึกกลัว เลยบอกว่า ถ้างั้นก็ขออภัยและคราวต่อไปจะงดอาหารเธอรู้สึกกลัว เลยบอกว่า ถ้างั้นก็ขออภัยและคราวต่อไปจะงดอาหารสัตว์มาไหว้ จะนำอาหารเจมาไหว้ ดังนั้นสองปีที่ผ่านมานี้ ลูกสะใภ้บ้านแซ่อึ้ง ก็นำแต่ของเจมาไหว้
อาหารเนื้อสัตว์ หมูเห็ดเป็ดไก่เต็มโต๊ะ
เจ้าได้รับแต่เพียงอาหารเจชุดเดียว
มีตระกูลแซ่จัง ในเมืองจั้งฮัว ตั้งแต่ ปู่ ย่า จนถึงลูกหลายต่างก็กินเจทั้งสามชั่วโคตร ทั้งครอบครัวมีสุข บุญบารมีล้นฟ้า มีวันหนึ่ง เป็นวันคล้ายวันเกิดของเจ้าองค์หนึ่ง ผู้คนนำหมูเห็ดเป็ดไก่ไปไหว้กันเต็มโต๊ะไปหมด ยังกับแข่งขันแสดงอวดกัน คุณนายจังไปทีหลัง เนื่องจากครอบครัวกินเจ ก็เลยใช้ถั่วลิสงทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆกัน ชุดเล็กๆ หนึ่งชุดมาไหว้ ตอนนี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยเป็ดไก่ ไม่มีที่จะวางได้ คนเฝ้าศาลเห็นดังนั้นก็เลยช่วยนำอาหารเจชุดนี้ไปวางไว้เหนือโต๊ะ พอดีลูกสะใภ้ตระกูลจังมาถึง แลเห็นว่าอาหารของบ้านตนเป็นอาหารชุดเล็กๆ เป็นที่สนใจของผู้พบเห็นในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ว่าไม่นานนัก พอเจ้าเข้าทรงเขียนออกมาว่า ในบรรดาของที่นำมาไหว้มากมาย เจ้าได้รับเพียงอาหารเจชุดเดียวเป็นของศิษย์ตระกูลจัง ทำให้บรรดาเทพเทวดาต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง
จากจุดนี้เอง ทำให้รู้ว่าเทพเทวดาไม่ต้องการให้ผู้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดีใจที่คนเอาอาหารเจมาไหว้ ดังนั้น ที่ๆ เทพเทวดาอยู่จะปราศจากควาโลกีย์ ก็ย่อมพอใจความสะอาดของอาหารเจ เกลียดอาหารเหม็นคาวของเนื้อสัตว์
อรหันต์จี้กง :บทร้องทุกข์ของสัตว์นี้แยบยล ผู้คนย่อมมีความเข้าใจภายหลัง ไหว้พระไหว้เจ้าไม่ควรฆ่าสัตว์ วันนี้พอเพียงแค่นี้ เตรียมตัว
หยางเซิง :ขอบคุณ เจ้าแม่ที่ชี้แนะ ลูกศิษย์ขออำลา!
เจ้าแม่ :คำสั่ง ให้ขุนพล ตีฆ้องลั่นกลองส่งแขก
อรหันต์จี้กง :เซินเต๋อถังถึงแล้ว คุณหยางเซิงลงจากปทุมทิพย์ วิญญาณกลับเข้าร่าง