ครั้งที่ 15 ศิษย์อาจารย์สนทนาธรรม รู้จักพลิกแพลงยืดหยุ่นบำเพ็ญได้สมบูรณ์ หวังว่าทุกๆคนสามารถบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน พุทธะ อริยะ ปราชญ์เมธี

2024-09-15 08:23:13 - mindcyber

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 7  วันที่ 15  ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ

พระพุทธะ คนึงถึง มวลเวไนย ดั่งมารดา ห่วงใยลูก

แม้ว่านาม นั้นจะถูก เรียกต่างกัน แต่จิตใจ นั้นไม่ต่าง

สวดนามพระ อมิตา พ้นไตรภูมิ แดนสุขา อยู่ไม่ห่าง

หลุดพ้นจาก ทุกข์ต่างๆ ได้รับสุข ละสังขาร อย่างไปดี

 

พุทธจี้กง : การประพันธ์หนังสือ ศิษย์ทั้งหลายต่างก็เหน็ดเหนื่อย  หนังสือเล่มนี้ถึงแม้จะมีเนื้อหาที่สั้น  แต่จิตใจของเซียนพุทธะที่เป็นห่วงคิดถึงเวไนยนั้นเป็นจิตใจที่มั่นคงยาวนาน  หวังว่าชาวโลกจะสามารถเห็นการสวดพุทธนามเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตตน  ทุ่มเทสวดพุทธนามจึงสามารถห่างไกลจากความทุกข์ได้รับความสุข ได้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดเหมือนกับว่าจะตัดจบหนังสือเล่มนี้แต่เพียงเท่านี้  แล้วแบบนี้จะไม่เป็นการประพันธ์หนังสือแบบลวกๆหรือครับ ?

พุทธจี้กง : เซียนพุทธะมีความทุ่มเทใจ  คิดใคร่ครวญอยู่นาน  พยายามอย่างเต็มที่  ต้องการที่จะให้หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่เรียบง่าย  สั้นกระชับและตรงประเด็น  ถ้าหากต้องการเอาหนังสือเล่มนี้มาอ่านเล่นเป็นนิยายสนุกๆ  นั่นเป็นพฤติกรรมของคนที่ขาดปัญญา  เป็นคนที่ไม่มีโชค

ไฉ้เซิง : ทำไมถึงได้จบไวอะไรอย่างนี้

พุทธจี้กง : เงินทำบุญพิมพ์หนังสือได้มาไม่ใช่ง่ายๆ  เพื่อต้องการให้หนังสือสามารถแพร่หลายออกไปได้อย่างกว้างขวางและยาวไกล  จึงจำเป็นที่จะต้องลดเนื้อหาให้สั้นลง  ดังนั้นเซียนพุทธะจึงได้ปรึกษาหารือกัน  แล้วผลสรุปก็คือให้หนังสือเล่มนี้ถึงตอนจบก่อนกำหนด

ไฉ้เซิง : ที่แท้เป็นแบบนี้เอง

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! วันนี้เป็นวันที่ 15 พอดี  และเป็นตอนสุดท้ายของหนังสือท่องแดนสุขาวดีด้วย  อาจารย์คิดว่าวันนี้ไม่ต้องไปท่องแดนสุขาวดีแล้วล่ะ  มาชมจันทร์กันดีกว่า

ไฉ้เซิง : ชมจันทร์อย่างไรครับ ?

พุทธจี้กง : งั้นตอนนี้เดี๋ยวอาจารย์จะสอนเจ้าชมจันทร์ก็แล้วกัน  ทุกวันที่ 15 ของทุกเดือนตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง  บำเพ็ญธรรมถ้าอยากมีบุญกุศลที่สมบูรณ์ก็ต้องให้เหมือนกับดวงจันทร์ในคืนนี้  ที่เปล่งแสงสุกสกาว  เต็มดวงไม่เว้าแหว่ง  รอบๆพระจันทร์คือรัศมีทรงกลด  หลักธรรมแท้จริงแล้วก็เหมือนวงกลมวงหนึ่งที่หมุนไปหมุนมา  สูงได้ต่ำได้  ปล่อยออกไปได้แล้วก็เก็บกลับเข้ามาได้  หมุนจากทางด้านซ้ายขึ้นไปแล้วก็ลงมาทางด้านขวา  หมุนจากทางด้านขวาขึ้นไปแล้วก็ลงมาทางด้านซ้าย  นี่ก็คือการพลิกแพลงยืดหยุ่น  เป็นการผสานกลมกลืน และเป็นความสมบูรณ์  การบำเพ็ญธรรมก็เช่นเดียวกัน  พูดหลักธรรมหากพูดรุนแรงเกินไปก็คือไม่รู้จักการพลิกแพลงยืดหยุ่น  ถ้าพูดออกนอกลู่นอกทางก็ไม่สอดคล้องกับทางสายกลาง  ถ้าพูดแบบเคร่งขรึมเกินไปก็จะรู้สึกไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ  ขอยกตัวอย่างโดยเอาลูกบอลมาเปรียบเทียบให้ฟัง  ลูกบอลมีลักษณะกลมจึงสามารถกลิ้งได้  ถ้าหากลูกบอลมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหรือเป็นมุมเฉียง  มันกลิ้งไปได้ไม่เท่าไหร่เดี๋ยวมันก็ต้องหยุดกลิ้ง  ก็เหมือนกับล้อรถ  ล้อรถมีลักษณะกลมจึงสามารถวิ่งได้สะดวกและรวดเร็ว  ถ้าหากล้อรถมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหรือสี่เหลี่ยม  งั้นคนที่นั่งอยู่บนรถก็จะต้องสัมผัสกับรสชาติของความสั่นสะเทือนกันจนจุก  การพูดธรรมะก็เช่นกัน  ต้องให้เหมือนกับลูกบอลหรือล้อรถ  จึงสามารถพูดได้อย่างราบรื่น  พูดได้อย่างมั่นใจน่าเชื่อถือ  มิเช่นนั้นแล้วคนฟังก็งง  คนพูดก็สับสน  เหมือนกับล้อรถที่มีรูปร่างแปลกประหลาดหรือลูกบอลที่มีรูปร่างลักษณะที่ผิดไปจากเดิม  กลิ้งได้ไม่นาน  ไปได้ไม่ไกลก็ต้องหยุด  ดังนั้นพูดธรรมะ  บรรยายธรรม  ธรรมะมาจากไหน ธรรมะก็มาจากอนุตตรภาวะ  อนุตตรภาวะมีสัญลักษณ์เป็น “○”  ดังนั้นธรรมะเดิมทีก็คือความว่างที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต  ถ้าหากมนุษย์สามารถเข้าใจหลักธรรมของอนุตตรภาวะนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแสวงหาจากภายนอก  เพียงแค่ตัวเองทำให้ตัวเองตื่นแจ้งอยู่ตลอดเวลา  ย้อนมองส่องตนกลับคืนสู่จิตเดิม  ไม่เป็นเพราะเรื่องราวหรือสรรพสิ่งต่างๆในโลกโลกีย์ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกเลยทำให้จิตของตนถูกรบกวน  เช่นนี้ ตัวเองก็คือพุทธะ  พุทธะอยู่ในใจตน  ใจตนก็คือพุทธะ  พุทธะกับเวไนยเสมอภาคเท่าเทียมกัน  ต่างกันเพียงแค่ตื่นแจ้งกับลุ่มหลง  คนหลงโอหังถือดี  คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ก็ยิ่งหลง  นี่ก็คือจิตของเวไนย  ผู้ตื่นแจ้งมีความสมถะเรียบง่าย  อ่อนน้อมถ่อมใจ  ไม่คิดว่าตัวเองใหญ่  เมื่อความคิดตื่นแจ้งเช่นนี้  ทุกขณะเวลาตั้งมั่นในจิตแห่งพุทธะ  ตั้งมั่นในความคิดของพุทธะ  ทุกความคิดคือพุทธะ  ทุกความคิดเป็นจิตที่ตื่นแจ้งพ้นจากความหลงผิด  ทุกความคิดปราศจากความคิดที่เห็นผิด  ปราศจากความคิดที่เพ้อฝัน  ทุกความคิดปราศจากความยึดติด  ปราศจากสิ่งที่ต้องยึดติด  ไม่มีสิ่งที่ต้องยึดติด  เช่นนี้ก็ไม่ใช่ปุถุชนคนทั่วไปแล้ว  ดังนั้นคนหลง  ตัวเองหลงคนเดียวไม่พอยังทำให้คนอื่นหลงไปด้วย  หยิ่งยโสเอาตัวเองเป็นใหญ่  โอ้อวดตัวเองว่าดีกว่าผู้อื่น  วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น  คิดว่าทำแล้วมีความสุข  ที่จริงแล้วเวไนยที่ลุ่มหลงก็คือเวไนยที่อยู่ภายในจิตใจของตัวเองนี่เอง  ยึดติดไม่ยอมปล่อยวาง  อาตมาหวังว่าหลังจากที่หนังสือท่องแดนสุขาวดีเล่มนี้ประพันธ์เสร็จแล้วจะสามารถปลุกเวไนยให้รู้ตื่น  ทุกขณะเวลาหมั่นย้อนสำรวจตน  หมั่นย้อนมองส่องตน  อย่าได้ก่อกรรมทำเข็ญหรือสร้างบาปเวรเอาใจผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองเป็นที่นิยมชมชอบหรือเป็นที่รักใคร่ของผู้คน  พึงรู้เถิดในวัชรสูตรกล่าวว่า “ไม่สามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการมาพิจารณาว่าเป็นตถาคตได้  หากสามารถอาศัยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการมาพิจารณาว่าเป็นตถาคตได้  มหาจักรพรรดิที่มีมหาปุริสลักษณะครบพร้อมทั้ง 32 ประการก็เป็นตถาคตกันหมดแล้ว” จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า  พุทธะแสวงหาได้จากภายในจิตของตน  ไม่ใช่แสวงหาจากภายนอกจิตตน  จิตญาณตนคือพุทธะ  จิตเดิมแท้คือของจริง

ไฉ้เซิง : คืนนี้พระอาจารย์เหมือนอยู่ๆนึกอะไรได้ก็พูดออกมา  พูดซะเยอะแยะมากมายเลย  ศิษย์สัมผัสรู้อะไรดีๆได้เยอะมาก  เวไนยที่มีจิตลุ่มหลงเมื่อได้ฟังคำพูดที่มีเหตุผลของพระอาจารย์ในครั้งนี้  เชื่อว่าจะต้องสามารถเปลี่ยนความหลงให้เป็นปัญญาแล้วมุ่งหน้าขุดค้นสิ่งล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ภายในจิตของตัวเองออกมาได้อย่างแน่นอน

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! เจ้านี่ไม่ธรรมดาจริงๆ  สามารถมอบสิ่งล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้ให้แก่เวไนยทุกๆคน  อาตมาหวังว่าเวไนยจะรีบตามหาสิ่งวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้กลับมา เช็ดล้างทำความสะอาดให้ดีๆ ประคับประคองรักษาไว้ให้ดีๆ  มิเช่นนั้นแล้วหากสูญเสียสิ่งวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้ไปก็จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในหกภูมิวิถี  ได้รับทุกข์ทรมานอย่างที่สุด  ต้องร้องโหยหวนไม่หยุด

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้อง  แต่ของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้ความจริงแล้วก็อยู่ภายในจิตใจของทุกคน  เพียงแต่ทุกคนได้ทำของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้สูญหายไปจากจิตใจมานานมากแล้ว  มีบางคนก็ยังไม่รู้เลยว่าของวิเศษล้ำค่าที่พระอาจารย์พูดถึงนี้หมายถึงสิ่งใด

พุทธจี้กง : ศิษย์เรา ! เจ้าพูดได้ถูกต้องอีกแล้ว  วันนี้อาจารย์ก็จะอาศัยโอกาสนี้เอาของวิเศษล้ำค่าที่อยู่ภายในจิตใจของทุกๆคนมาอธิบายให้กระจ่างชัดหน่อย  พวกเขาจะได้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้  ไม่ว่าจะอยู่ในที่สาธารณะ  ไม่ว่าการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นในสังคม  หรือเมื่ออยู่ภายในครอบครัว  ของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้สามารถใช้เป็นยันต์ป้องกันตัวได้ดีมาก  และสามารถใช้ป้องกันตัวได้ตลอดไปทุกภพทุกชาติ

ไฉ้เซิง : งั้นรบกวนพระอาจารย์ช่วยเปิดเผยหน่อย

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้ล้วนมีอยู่แล้วในทุกๆคน เพียงแต่บางคนฝังไว้ลึก  บางคนฝังไว้ตื้น  ที่ฝังไว้ลึกบ้างก็ขึ้นสนิมไปแล้ว  แต่ไม่เป็นไร  ขอเพียงเจ้ามีความอดทน  ค่อยๆเอาไปเช็ดล้างทำความสะอาด  มันก็จะกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์เหมือนตอนเริ่มแรกไม่มีบุบสลาย

ไฉ้เซิง : จริงหรือครับ ?

พุทธจี้กง : ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว  อาจารย์จะหลอกลวงคนอย่างนั้นหรือ ?

ไฉ้เซิง : งั้นของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้จะขุดค้นขึ้นมาได้อย่างไร ?

พุทธจี้กง : ง่ายจะตาย  ก็แค่สวดท่องพุทธนามด้วยจิตที่ปีติยินดีอันเกิดจากก้นบึ้งของจิตใจ  นี่ก็คือวิธีขุดค้นของวิเศษล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตัวเอง

ไฉ้เซิง : ได้ของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้แล้ว  มีประโยชน์อย่างไร ?

พุทธจี้กง : โอ้ ! มีประโยชน์มากมายเลย  1.สามารถทำให้กายใจแข็งแรง  2.สามารถทำให้ครอบครัวสมบูรณ์  3.สามารถทำให้สังคมเกิดความปรองดองสมานฉันท์เป็นสิริมงคล  4.สามารถทำให้หายป่วยเร็วขึ้น  5.สามารถทำให้ตัวเองได้ไปเกิดแดนสุขาวดี

ไฉ้เซิง : โอ้ ! ดีเหลือเกิน

พุทธจี้กง : แน่นอนอยู่แล้ว  เพียงแต่ว่ามีบางคนที่ยังดื้อรั้นลุ่มหลงไม่รู้จักตื่น  ไม่เชื่อคำพูดของอาตมา  มีความเชื่อมั่นไม่เพียงพอ  งั้นของวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่เศษเหล็กที่ขึ้นสนิมเกิดพิษร้าย  ดังนั้นคนเหล่านี้ก็เลยต้องเดินอยู่บนหนทางแห่งความเจ็บป่วย  จมลงสู่ทะเลทุกข์

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้องที่สุด  ดังนั้นคนที่อยากตามหาดวงแก้วมณีอันล้ำค่าที่แท้จริงของตัวเองกลับคืนมา  ทุกๆวันก็จะต้องไปทดลองทำดู  ทุกๆวันบังเกิดจิตจากก้นบึ้งของจิตใจ  สวดท่องพุทธนามด้วยความปีติยินดี  ย่อมได้รับสิ่งวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้อย่างแน่นอน  เมื่อได้พบสิ่งวิเศษล้ำค่าชิ้นนี้แล้ว  อะไรๆก็จะกลายเป็นเพียงแค่ขยะของเสียที่ไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! ใจของตนก็คือดวงแก้วมณีอันล้ำค่า  จิตของตนก็คือดวงแก้วมณีอันล้ำค่า  ใจของตนก็คือพุทธะ  จิตของตนก็คือพุทธะ  พุทธะก็อยู่ในใจตน  พุทธะเดิมทีแล้วก็ไม่ห่างจากจิตตน  อยากสำเร็จเป็นพุทธะ  หรืออยากจะสำเร็จเป็นวิญญาณผี  ตัวเองเป็นคนเลือกเอง  ต้องการแสงสว่างหรือต้องการความมืดมิด  ตัวเองเป็นคนเลือกเอง  อยากไปแดนสุขาวดีหรืออยากลงนรก  ตัวเองเป็นคนควานหามาเอง  คำพูดที่เป็นความสัตย์จริงอาตมาได้พูดไปหมดแล้ว  หากเวไนยยังไม่รู้สำนึก  จะให้อาตมาทำอย่างไร  ถึงแม้ไฉ้เซิงจะมีปณิธานใหญ่  เหน็ดเหนื่อยทุ่มเทกายใจ  แล้วจะช่วยอะไรได้  ฮ่าๆ !

ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ ! พระอาจารย์ทอดถอนใจฝืนหัวเราะให้กับโลกใบนี้  งั้นศิษย์ขอร่วมหัวเราะด้วยคน

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ !  ในที่สุด  พวกเราอาจารย์ศิษย์ก็มีผลงานเสร็จ พร้อมส่งมอบอีกชิ้นหนึ่งแล้ว

ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ !  ศิษย์เองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง  ขอบคุณพระอาจารย์ที่พยายามสู้เพื่อเวไนยอย่างถึงที่สุด  โดยไม่คำนึงถึงความยากลำบาก

พุทธจี้กง : ชีวิตของอาจารย์เหน็ดเหนื่อยตรากตรำทำงานหนักประเภทนี้จนเคยชินมานานแล้ว

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้คนก็ไม่ใช่ข่าวใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น

พุทธจี้กง : วันนี้ก็พอเพียงเท่านี้เถอะ  หวังว่าท่องแดนสุขาวดีเล่มนี้จะสามารถปกโปรดกล่อมเกลาโลกใบนี้  หวังว่าแสงอันโชติช่วงสว่างไสวของเซิ่งเทียนถังจะส่องสว่างโลกนี้

ไฉ้เซิง : หวังว่าผู้อ่านหนังสือของเซิ่งเทียนถังทุกคนจะสามารถสำเร็จเป็นเซียน พุทธะ อริยะ ปราชญ์เมธีกันทุกๆคน

พุทธจี้กง : อาจารย์กลับแล้ว

ไฉ้เซิง : กราบลาพระอาจารย์


More Posts