ครั้งที่ 14 พระพุทธจี้กงบรรยายธรรม ในธรรมมีธรรม เมธีฟังหลักธรรม ในหลักธรรมมีหลักธรรม

2024-09-15 08:22:24 - mindcyber

ปีเจี๋ยจื่อ เดือน 7 วันที่ 12 ค.ศ.1984 (ตรงกับวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2527)พระพุทธจี้กง ประทับทิพยญาณ

รูปภายนอก กระทบตา พาใจวุ่น ไม่รู้จบ

เดิมทีใจ นั้นสงบ แต่ตัณหา ชักพาไป

อันว่าโลภ โกรธหลงรัก ใครสามารถ สละได้

ย้อนมองส่อง กระจกใจ ที่ไหนได้ คือเทพเซียน

 

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ ! “รูปไม่ได้ทำให้คนหลง  มีแต่คนไปหลงรูปเอง”  ชาวโลกช่างน่าขันนัก  ตามองดูกระดาษแผ่นบางๆแผ่นหนึ่ง  แต่ถ้าหากบนแผ่นกระดาษแผ่นบางๆนั้นพิมพ์ภาพสาวสวยท่าทางยั่วยวนก็จะทำให้ผู้ชายวัยสูงอายุใจสั่นหวั่นไหว  ทำให้ชายวัยกลางคนหลงใหล  ทำให้คนวัยหนุ่มคลั่งไคล้  ทำให้เด็กหนุ่มวัยรุ่นเกิดความคิดฟุ้งซ่าน  ฮ่าๆ ! แปลกจริงๆ

ไฉ้เซิง : คำพูดของพระอาจารย์ก็เหมือนกับแม่ปลาในสระที่บอกกับลูกปลาตัวน้อยว่า “อย่าไปกินเหยื่อตกปลานะ  เหยื่อตกปลามันกินไม่ได้”  แต่ลูกปลาก็ดื้อ  ไม่ยอมฟังคำเตือนของแม่ปลา  อยากจะลองกินเหยื่อตกปลาดู  ผลก็คือติดเบ็ด

พุทธจี้กง : ดังนั้นผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องมีปัญญาในการสังเกต  เพราะว่าคนที่มีปัญญาในการสังเกต  สิ่งที่เขามอง  สิ่งที่เขาเห็น  สิ่งที่เขาคิด  ล้วนเจาะลึกเข้าถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง  ไม่ใช่เพียงแค่รู้เข้าใจปัญหาอย่างผิวเผิน  สมมติว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวสวยดึงดูดใจ ทำให้ผู้ชายมองแล้วเกิดความคลั่งไคล้ลุ่มหลง  แต่ในสายตาของอาตมา  อาตมาว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สวย

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?

พุทธจี้กง : เพราะว่าเมื่อเขาเดินไปที่ริมสระน้ำ  พวกปลาต่างก็ว่ายมุดหนีลงไปอยู่ใต้น้ำ  เมื่อเดินไปที่ข้างต้นไม้  นกบนต้นไม้ต่างก็บินหนี  เมื่อเดินอยู่บนพื้นดิน  พวกมดต่างก็กลัวว่าจะถูกเหยียบตาย  แล้วอย่างนี้จะสวยได้อย่างไรกัน

ไฉ้เซิง : นั่นเป็นเพราะว่าพวกมันตาไม่มีแวว

พุทธจี้กง : ตามีแววก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง

ไฉ้เซิง : เพราะอะไรครับ ?

พุทธจี้กง : ถ้าไม่เชื่อ  งั้นตอนที่เจ้าอยู่ในที่ๆมืดมิด  เจ้ายังสามารถมองเห็นอะไรได้อยู่หรือไม่ ?

ไฉ้เซิง : มองไม่เห็นครับ

พุทธจี้กง : แล้วสามารถมองเห็นร่างกายของตัวเองไหม ?

ไฉ้เซิง : มองไม่เห็นครับ  เห็นเพียงแค่ความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

พุทธจี้กง : เจ้ามองไม่เห็นร่างกายของตัวเอง  งั้นตัวเจ้าก็ไม่มีแล้ว

ไฉ้เซิง : มีนะ ! ศิษย์ก็ยังมีความรู้สึกสามารถรับรู้อะไรได้ทุกอย่างนะ !

พุทธจี้กง : นี่ก็คือหลักสัจธรรมของวิญญาณที่ไม่ดับสูญ  ดังนั้น  ถ้าหากชาวโลกต้องการข้อยืนยันทางด้านวัตถุนิยมก็เปิดไฟ  แต่ถ้าหากต้องการข้อยืนยันทางด้านวิญญาณนิยมก็ปิดไฟ  เพียงแค่นี้ก็สามารถพอเข้าใจได้บ้างบางส่วน  ไม่ต้องให้อาตมามาอธิบายแจกแจงให้ฟังแล้ว

ไฉ้เซิง : พระอาจารย์พูดได้ถูกต้อง  ตาไม่สามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง  สามารถใช้มองเห็นได้เพียงแค่ในโลกที่มีรูปลักษณ์  แต่ในโลกที่ไม่มีรูปลักษณ์ตาไม่สามารถใช้มองเห็นอะไรได้เลยสักอย่างเดียว  ตอนที่อยู่ในความฝันไม่ต้องใช้ตาก็สามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง  ไม่ต้องใช้หูก็สามารถได้ยินเสียง  ไม่ต้องใช้ปากก็สามารถพูดได้  นี่ไม่ใช่ความอัศจรรย์หรอกหรือ

พุทธจี้กง : ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นธรรมแห่งเหตุปัจจัย

ไฉ้เซิง : อย่างไรเรียกว่าธรรมแห่งเหตุปัจจัย ?

พุทธจี้กง : ธรรมแห่งเหตุปัจจัยก็คือ  เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงเกิดขึ้น  เมื่อเหตุปัจจัยยังไม่ถึงพร้อมก็ไม่เกิดขึ้น  สมมติว่าคนบนโลกนี้ต้องการจะมองของสักชิ้นหนึ่งจะต้องมีเหตุปัจจัย 5 อย่างจึงสามารถมองเห็น  ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยครบทั้ง 5 อย่างก็ไม่สามารถมองเห็น

ไฉ้เซิง : จริงหรือครับ ?

พุทธจี้กง : ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวอาจารย์จะแจกแจงให้เจ้าฟัง  ข้อแรก คนๆนี้จะต้องมีสติรับรู้ เขาจึงจะสามารถรู้สึกได้  ข้อที่ 2 คนๆนี้จะต้องไม่เป็นคนตาบอด เขาจึงจะสามารถมองเห็นได้  ข้อที่ 3 จะต้องมีแสงสว่างจึงจะสามารถมองเห็นได้  ข้อที่ 4 ของที่มองจะต้องเป็นวัตถุที่มีรูปลักษณ์จึงสามารถมองดูได้  ข้อที่ 5 ระหว่างดวงตากับสิ่งของจะต้องไม่มีวัตถุอื่นมาบดบังขวางกั้น  นี่ก็คือหลักธรรมของเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงเกิดขึ้น

ไฉ้เซิง : ถ้าอย่างนั้นการที่ชาวโลกใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งทะเลทุกข์  ก็คือเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงต้องมาเกิดในโลกนี้

พุทธจี้กง : ถูกต้อง ! ชาวโลกใช้ชีวิตอยู่บนโลกก็จะต้องมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมจึงมาเกิดในโลกนี้  สำหรับเหตุภายในก็คือ “แรงกรรมจากเหตุต้นผลกรรม” ทำให้เกิด “เหตุ”  ซึ่งก็เปรียบเหมือน “เมล็ดพันธุ์”  ส่วนปัจจัยภายนอกก็คือร่างกายของพ่อแม่เป็น “ปัจจัย” ซึ่งก็เปรียบเหมือน “ผืนดิน”  ด้วยเหตุนี้เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ลงบนผืนดินจึงผลิดอกออกผล  ก็เปรียบเหมือนแรงกรรมจากเหตุต้นผลกรรมของชาวโลกเอง ร่วมกับร่างกายของพ่อแม่จึงสามารถเกิดเป็นคนๆหนึ่ง  ในทางกลับกัน  ถ้าหากตัวเองไม่มีแรงกรรมจากเหตุต้นผลกรรม หรือว่าไม่มีร่างกายของพ่อแม่  ก็ไม่สามารถเกิดความถึงพร้อมของเหตุปัจจัย (เหตุปัจจัยไม่ถึงพร้อมก็ไม่ได้เกิด) หลักการก็อยู่ตรงนี้

ไฉ้เซิง : ดังนั้นการที่ปรจิตวิทยา (ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของจิตเหนือธรรมชาติ) ถูกชาวโลกตำหนิว่างมงาย  อย่างนี้ไม่เป็นการใส่ความกันอย่างไม่เป็นธรรมหรอกหรือ

พุทธจี้กง : ปัญหานี้ก็เหมือนกับที่การแพทย์แผนปัจจุบันไม่ยอมรับการฝังเข็มของแพทย์แผนจีน  และวิชาแพทย์ปัจจุบันก็ไม่ยอมรับการมีอยู่ของพลังชีพจรแบบแพทย์แผนจีน  เพราะว่าพลังชีพจรเป็นพลังอยู่ในร่างกาย  ไม่มีรูปร่างให้เห็นเหมือนหลอดเลือด  เส้นเอ็น  และกระดูก  แต่ความจริงแล้วพลังชีพจรนั้นมีอยู่  ดังนั้นปัญญาความรู้ของคนเรานั้นมีขีดจำกัด  ถ้าหากคนเรามุ่งแสวงหาปัญญาอันตื้นเขินจากโลกที่มีรูปลักษณ์ก็จะทำให้ตัวเองเดินเข้าสู่หลุมพรางกับดัก  ไม่รู้จะออกมาจากกับดักได้อย่างไร  เพราะว่าสรรพสิ่งในโลกที่มีรูปลักษณ์มีการเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆหมุนเวียนเป็นวัฏจักรไม่สิ้นสุด  มีเพียงการแสวงหาปัญญาที่ยั่งยืนนิรันดร์  จึงสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์และกิเลสความกลัดกลุ้มได้

ไฉ้เซิง : ที่พระอาจารย์พูดมาถูกต้องที่สุด  ถ้าหากชาวโลกเข้าใจว่าความตายเหมือนดั่งตะเกียงดับ  ไม่มีการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย  อย่างนั้นโลกนี้ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่  เพราะทุกคนก็จะมุ่งเป้าแต่ความสุขของตัวเองโดยไม่สนใจสิทธิและผลประโยชน์ของผู้อื่น  และยิ่งไม่เกรงกลัวต่อเหตุต้นผลกรรมหลังความตาย  ถ้าเป็นอย่างนี้สังคมก็จะกลายเป็นสังคมที่ใช้กลอุบายหลอกลวงกัน  ใช้กำลังบังคับยื้อแย่งกัน  ผู้ที่อ่อนแอกว่าก็จะตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแรงกว่า  แม้แต่การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

พุทธจี้กง : ดังนั้นในยุคที่วิทยาศาสตร์ยิ่งมีความเจริญก้าวหน้า  จิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรมของคนก็ยิ่งถดถอย  อยู่ในยุคที่คุณธรรมจริยธรรมตกต่ำเสื่อมถอย  มีบางคนยังคิดว่าตัวเองเดินมาถึงยุคที่มีความเจริญถึงจุดสุดยอด  หารู้ไม่ แท้จริงแล้วกำลังถลำลึกเข้าสู่หนทางที่ผิด แถมเดินมาจนสุดทางแล้ว  ดังนั้นเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน  พระพุทธองค์ก็ได้พยากรณ์ล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า  เมื่อเรา(พระศากยมุนีพุทธเจ้า)ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว  ภายใน 1,000 ปีแรกจะเป็นยุคของพระสัทธรรม  ภายใน 1,000 ปีที่ 2 จะเป็นยุคสัทธรรมปฏิรูป  หลังจาก 2,000 ปีเป็นต้นไปจะเป็นยุคสัทธรรมวิปลาส  จิตญาณของเวไนยนับวันยิ่งเขลาหลง  จะมาศึกษาเลียนแบบพระพุทธะก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ว่าถ้าหากพากเพียรบำเพ็ญในธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนาม  นั่นก็ว่าไปอย่าง  จากเรื่องนี้ก็สามารถรู้ได้ว่าในธรรมกาลยุคท้ายนี้  ธรรมวิถีแห่งการสวดพุทธนามนั้นมีความสูงส่งล้ำค่ายิ่งนัก

ไฉ้เซิง : เป็นเช่นนั้นจริงๆ  พระอาจารย์ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อโน้มนำสั่งสอนให้เวไนยศึกษาธรรมะเพิ่มมากยิ่งขึ้น  วันนี้ก็เปลี่ยนแนวในการปกโปรดกล่อมเกลาเป็นอีกแบบ  เพื่อแพร่ประกาศธรรมสู่ชาวโลกอย่างกว้างขวาง  เชื่อว่าหลังจากที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ออกมา  จะต้องมีความสูงส่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง  ทุกๆคนช่วยกันพิมพ์  ทุกๆคนหามาอ่าน  ทุกๆคนสวดพุทธนาม  ทุกๆคนล้วนเป็นพุทธะโพธิสัตว์  ใจพุทธะ  ปากพุทธะ  ดำรงชีวิตอยู่ในพุทธภูมิแห่งสหาโลกธาตุ  เอาโลกนี้เปลี่ยนเป็นแดนดอกบัว   นี่จึงเป็นความหมายของการประพันธ์หนังสือเล่มนี้

พุทธจี้กง : ฮ่าๆ !  อาหมีถัวฝอ !  สาธุ !  สาธุ !  คืนนี้ดึกแล้ว  ครั้งนี้ประพันธ์เสร็จที่เซิ่งเทียนถัง

ไฉ้เซิง : ฮ่าๆ ! ยอดเยี่ยม  คิดไม่ถึงว่าวันนี้เซิ่งเทียนถังจะได้เป็นดารารับเชิญ

พุทธจี้กง : จิตวิสุทธิ์ก็คือแดนพุทธภูมิอันวิสุทธิ์   นี่ก็คือแดนวิสุทธิภูมิสำเร็จรูป

ไฉ้เซิง : อาหมีถัวฝอ !  สาธุ !  สาธุ !

พุทธจี้กง : อาจารย์กลับแล้ว

ไฉ้เซิง : น้อมส่งพระอาจารย์


More Posts