เส้นทางอริยะ ตอนที่สอง

2024-08-11 11:29:20 - mindcyber

ฝึกฝนทางอริยะ            ปุถุชนพี่น้องรักกัน

ราบเรียบสู่นิพพาน         ดุจลมบนเทียมฟ้าปางก่อน

 

อรหันต์จี้กงเสด็จลงประทับทรง วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2525

กลอนนำเสด็จ

เมฆสูงภูผาชัน

           ทางอริยะไกล

           ความใคร่ทะยานอยาก

           ยามเมตตาหมายพึ่ง

สูงสุดยันยังหยั่งได้

           สุดแสนเพียงใจหยั่งถึง

           ยากจักพ้นห่วงรัดตรึง

           พระกวนอิมอิ่มเอิบใจ

อรหันต์จี้กง : หากจะหลุดจากทะเลทุกข์ ก็คงต้องขึ้นมานั่งบนเรือ วันนี้อาตมาได้ส่งยานมาลำหนึ่ง ชื่อว่า “ยานจี้กง” เป็นยานช่วยชีวิตพวกที่พลาดพลั้งบ้าง ที่ลงสู่ทางอบายบ้างและที่หลงทางบ้าง ขอเพียงให้กวักมือเรียกก็จะมา พวกเธอเพียงแต่ให้รู้สำนึกตัวว่าผิดแล้วอย่าผิดซ้ำ เมื่อกลับใจก็จะพบฝั่ง อาตมาจะช่วยเหลืออย่างเสมอภาคกัน สวรรค์ไม่เพิ่มโทษแก่ผู้สำนึกผิดหรอก ขอเพียงผู้หลงผิดมีความตั้งใจมั่นคงเพื่อบ่ายหน้าสู่ทางธรรม หากผู้กล้าหาญยอมรับผิดเช่นนี้ความผิดพลาดของเขาก็จะยิ่งลดน้อยถอยลง

     อนึ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมหากพบกับอุปสรรคระหว่างการบำเพ็ญเพียรและชั่วเวลานั้น มีพละกำลังไม่พอเพียงจนกระทั่งต้องผิดศีลเสื่อมธรรม และเลิกบำเพ็ญเพียรในที่สุดแล้วละก็เมื่อได้ยินจี้กงร้องเรียกก็รีบยื่นหน้าออกมาก็จะไม่เอาโทษจากวันนี้ไปขอให้ปรับตัวเริ่มต้นใหม่ ระบายความอัดอั้นตันใจออกเสีย ติดตามอาตมาก้าวสู่ “เส้นทางอริยะ” ภายภาคหน้าก็จะได้สำเร็จมรรคผล

หยางเซิง :ท่านอาจารย์กล่าวถูกต้อง ในระหว่างทางที่บำเพ็ญธรรมอยู่ มีน้อยมากที่จะไม่พบอุปสรรค แต่ละคนก็มักพบกับอุปสรรคต่างๆ จนกระทั่ง .... ถึงกับเปลี่ยนแปลงจิตธรรมของตน มีอยู่ไม่น้อย ถึงกับเลิกกลางครัน ช่างน่าเห็นใจเสียจริงๆ

อรหันต์จี้กง :การพบอุปสรรคต่างๆ ของผู้บำเพ็ญธรรมบางครั้งมิได้เกิดขึ้นจากกำลังวังชาของตน เช่น พบกับความเคราะห์ร้าย ซึ่งก็น่าเห็นใจอย่างยิ่ง

     แต่ทว่า มีบางคนอวดฉลาด เอาแต่ความคิดเห็นตนเองเป็นที่ตั้ง นำเอามหาสัทธรรมซึ่งเป็นธรรมะธรรมดา เอามาเสริมแต่ง เติมหัวต่อหางจนดูเป็นของพิสดาร ทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ มากมาย เหล่านี้เป็นการก่อกรรมสร้างเวร! มหาสัทธรรมมิได้แปลกพิสดาร จุดมุ่งหมายก็ต้องการอบรมมนุษย์ให้กลับคืนสู่จิตดั่งเดิมของตนเอง และวิธีการก็ล้วนมีเหตุผลธรรมดาถ้าหากละทิ้งเหตุและผล แล้วไปจับเอาอย่างอื่นเข้า ก็เป็นการกระทำที่ประหลาดแผลงๆ อย่างนี้ก็จะกลายเป็นธรรมะที่ยากเย็นเข็ญใจ แม้จะเกิดมาสักหมื่นๆ ชาติก็ไม่อาจสำเร็จได้ง่าย ศาสนาทั้งสาม (หมายถึง ศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื้อ) ก็มีความเห็นตามนี้ โดยมิได้สอนคนให้พิสดารแผลงๆ แต่มนุษย์สมัยนี้กลับทำในสิ่งที่ขัดหลักธรรมไม่ต้องพูดถึงอื่นไกล ก็พวกที่เที่ยวสั่งสอนอบรมชาวบ้านกลับปล่อยปละละเลย ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะบำเพ็ญธรรมให้แน่วแน่จนกระทั่งบรรลุความว่างเปล่าเงียบสงบ แต่กลับวิ่งไปสู่หนทางแห่ง “การอำพรางซ่อนเงื่อน” หรือมิใช่ทำแต่เพียงลอยๆกับการพูดจาเหลวไหล กล่าวหาว่าคุณธรรมแปดเป็นสิ่งหลอกลวงคน โดยอาศัยกลยุทธ์และวิถีทางต่างๆ เที่ยวหลอกลวงชาวบ้าน บางครั้งก็ยังมีเหล่าผู้ใฝ่ธรรมดีจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรคของผู้ “เรียนแต่ไม่คิด” ในที่สุดก็ได้แต่ฝึกเรียนอย่างผิดๆ คอยคิดแต่ฟุ้งซ่าน สร้างความเพ้อฝันที่สดสวยว่าจะได้ขึ้นสวรรค์อย่างนั้นๆ อันเป็นสาเหตุเช่นทุกวันนี้ที่สังคมมักมองศาสนาไปในแนวทางที่ผิด

     ที่จริงการบำเพ็ญธรรมเป็นการกระทำที่ดีงาม และการเทศนาสั่งสอนก็เป็นเรื่องธุระที่ดีเช่นกัน แต่ต้องจัดแนวทางให้ถูกต้อง การปฏิบัติต้องให้ถูกทิศทาง มิฉะนั้นแล้ว หากไม่อาศัยแนวทางที่ถูกต้องไปปฏิบัติ ก็อาจเป็นหนทางสร้างบาปได้เช่นกัน ดังนั้น จึงหวังว่าทุกคนควรต้องอาศัยความรู้ดีรู้จริง โดยพิจารณาการปฏิบัติที่ผ่านๆ มา และปัจจุบันให้กระจ่างเสียก่อน แล้วแก้ไขสิ่งที่ไม่เข้าร่องเข้ารอย ให้เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องเสียที พึงระลึกเสมอว่า มหาสัทธรรมเป็นมัชฌิมาเสมอ พึงเข้าใจว่า หลักของธรรมะมิใช่หรือ “ขจัดความทุกข์หมดกังวล” ถ้าหากว่าธรรมะไม่สามารถขจัดความกังวลทุกช์ของโลกได้แล้ว ในขณะที่เราฝึกฝนธรรมะก็จะมีความทุกข์กังวลที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้นได้ และคิดว่า ความทุกข์กังวลนี้จะเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เพราะมันสามารถทำลายรสชาติแห่งการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษยชาติหรือเข้ายึดจิตใจ จนกลับกลายเป็นควมสิ้นหวังแสนรันทดในวิถีมนุษย์ ขณะเดียวกันความผิดหวังนี้กลับทำให้จิตใจของผู้ปฏิบัติธรรม มองดูโลกอย่างคนไร้จุดหมายโดยสิ้นเชิงกลับยึดเอาสิ่งที่เห็นได้ในปัจจุบันเป็น อัตตา (หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถคงทนอยู่ได้ ปฏิเสธทุกอย่างที่ไม่เห็น) หากเป็นเช่นนี้เรื่อยไปนิสัยของคนก็จะเข้าสู่อันตราย ดังนั้นการบำเพ็ญธรรม ก็คือศาสนาก็เพื่อจุดหมายอันนี้ โดยมิได้มีความเพี้ยนหรือขัดต่อหลักเหตุผล หรือขัดกับการดำเนินการของจิตใจคน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อรู้สึกถึงความผิดพลาดของตนเองขึ้นมาแล้วก็รีบๆ เอามาพิจารณาร่วมกับหลักธรรมของศาสนาทั้งสามเพื่อตัดสินใจว่าจะดำเนินการต่อหรือหยุดเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นการช่วยตัดสินใจที่จำเป็นอย่างยิ่ง

     อย่างไรก็ตาม ในสังคมทุกวันนี้ สิ่งที่ไม่พิสดารย่อมไม่มี ดังนั้น พวกสอนศาสนาที่คอยกล่าวร้ายโจมตีก็มีถมไป มีทั้งอาศัยเหตุผล ปฏิบัติตรงก็มี พวกขวางๆ ออกข้างๆ ก็มีพวกสร้างแพในทะเลทุกข์ก็มี พวกจับปลาในน้ำขุ่นก็มี ถึงแม้ว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อให้พ้นทุกข์ แต่วิธีการปฏิบัติไม่สามารถอาศัยจิตรู้ แล้วเอามาคัดเลือกได้ ขอให้ทุกคนจงพินิจพิจารณาคำของอาตมาให้ลึกๆ เถิด!

หยางเซิง : ท่านอาจารย์ทนเหนื่อยมาก ที่ชี้แนะถึงความผิดพลาดต่างๆ ที่ผสมอยู่ใน “มหาสัทธรรม” แบบต่างๆ

อรหันต์จี้กง :เจ้าหยางเซิง เตรียมตัวขี้นบนอาสน์เถิด เพื่อมุ่งทะยานสู่ “เส้นทางอริยะ” เถิด!

หยางเซิง : ขอรับกระผม

อรหันต์จี้กง :ยึดถือจอบด้วยจิต ถากถางทางกิเลสที่ไม่เรียบให้เป็น ทางอริยะ เพื่อผู้เฒ่าหญิงชราจะเดินได้สะดวก ด้วยน้ำใจที่เมตตา ชักจูงหมู่ชนเดินสู่เส้นทางอริยะ เพื่อสันติสุขทั้งบนโลก บนสวรรค์......ถึงที่หมายแล้ว

หยางเซิง : ที่นี่เป็นบ้านของใครกันนะ!

อรหันต์จี้กง: บ้านนี้เป็น  บ้านชาวพุทธ บ้านชาวเต๋า และก็เป็นบ้านชาวขงจื้อด้วย

หยางเซิง: ทำไมพูดแบบนี้นะ

อรหันต์จี้กง: ที่นี่เป็นเมืองเกาสง บ้านคนแซ่ลิ้ม ท่านผู้เฒ่าลิ้มชอบฝึกมวยไท้เก๊ก ชอบนี่งสมาธิ นับว่าเป็นบ้านชาวเต๋า ว่านท่านฮูหยิน ก็จะสวดมนต์ไหว้พระทุกค่ำเช้า นับว่าเป็นบ้านชาวพุทธ ในบ้านนี้มีเด็กนักเรียน 3 คน กำลังเรียนในมหาวิทยาลัยก็มี ชั้นมัธยมก็มี ที่กำลังเล่าเรียนอยู่ก็มีวิชาของขงจื้อ จึงนับว่าเป็นชาวขงจื้อ นับว่าทั้งสามศาสนาอยู่ในบ้านเดียวกัน!

หยางเซิง: ปัจจุบันนี่แต่ละบ้านมีทัศนนิยมต่อแต่ละศาสนานั้นลึกซึ้ง ต่างก็ล้อมรั้วไว้เสียสูง ตัวอย่างเช่น ในครอบครัวที่กล่าวมานี้จะไม่กลับกลายเป็น “ข้าก็เดินตามทางของข้าเอ็งก็เดินส่วนของเอ็ง” ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกัน งั้นหรือ?

อรหันต์จี้กง: ชาวโลกยึดมั่นใน “ตัวกู” เกินไปยึดมั่นถือดีจนทำให้แต่ละศาสนาต่างแอ็นตี้กันจนออกนอกหน้าแต่วันนี้คนบ้านตระกูลลิ้ม มีการศึกษาค่อนข้างสูง มีความเข้าใจดีให้อิสระในการเชื่อถือ ไม่มีความคิดในการบังคับให้นับถือตามตนเอง  ดังนั้น  ใครใคร่เชื่อถือในลัทธิใดก็ตาม จะไม่เป็นดังน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้  ซึ่งเป็นครอบครัวศาสน์ที่มาตรฐาน

หยางเซิง: อะไรคือ ครอบครัวศาสน์

รหันต์จี้กง: บรรดาครอบครัวศาสน์ หรืออาจนับว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา” พวกเขาอุดมไปด้วยวิชาความรู้มีอาชีพเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา แต่ว่า  ครอบครัวศาสน์  แบบนี้ก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเดียว ไม่อาจมีสาขาที่สองโดยไม่มีความอดทนยอมรับว่ายังมีศาสนาอื่นอยู่ด้วย สำหรับวันนี้บ้านตระกูลลิ้ม ถือว่าเป็นครอบครัวศาสน์ตัวอย่าง โดยเฉพาะมีประชาธิปไตย  แต่ละคนมีความยินดีในโอกาสของตน ต่างตนก็บำเพ็ญจิตโดยไม่มีการกล่าวโทษ หรือเกลียดชังว่าไม่ยุติธรรมแอ็นตี้ศาสน์อื่นโดยออกนอกหน้า ทุกคนปรองดองรักใคร่กันดีทุกคนมีสุขภาพจิตและกายดีเยี่ยม  ผู้เยาว์ก็มีการเรียนก้าวหน้า ผู้ใหญ่ก็มีบัญญาล้ำเลิศ พวกที่มีการศึกษามีหลักการเช่นนี้  จึงจะเหมาะสมว่าเป็น “ครอบครัวศาสน์”

     ชาวโลก ไม่ว่าจะบำเพ็ญ เต๋า หรือ นับถือพุทธ ของเพียงแต่ให้ค้นคว้าถึงสัทธรรมแท้ๆในพระธรรม ให้เข้าใจถึงความคิดของเต๋า จิตแรกแห่งพุทธะและรากเหง้าแห่งปราชญ์ทั้งสามย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกันต่างก็ช่ายกันขจัดความทุกข์กังวลให้แก่มวลมนุษยชาติ เพื่อให้จิตอิ่มเอิบด้วยความปีติยินดีหากท่านไม่อาจบรรลุถึงผลระดับนี้ ก็เกรงว่าท่านจะอยู่ห่างไกลจาก “เส้นทางอริยะ” เสียแล้ว อาตมาจะเล่าเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่าง

     มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในศาลเจ้าเล็กๆหลังหนึ่ง ภายในมีรูปพระศาสดาของทั้งสามศาสนาตั้งอยู่ บังเอิญมีศิษย์ขงจื้อผ่านเข้ามายังศาลเจ้านี้ มองเห็นรูปของขงจื้อตั้งอยู่ทางขวามือเกิดจิตไม่สบายใจ จึงพูดกับตนเองว่า “ท่านขงจื้อมีหลักธรรมเผยแผ่มาจนถึงทุกวันนี้ บุญบารมีคู่ฟ้าดิน จะนั่งอยู่ข้างๆได้อย่างไรกัน” พูดจบก็อัญเชิญพระพุทธรูปย้ายไปไว้ทางขวามือแล้วยกพระรูปขงจื้อมาตั้งไว้ตรงกลาง ต่อมาไม่นานนักก็มีศิษย์เต๋าผู้หนึ่งผ่านเข้ามา ไม่เห็นพระรูปท่านเล่าจื้อตั้งอยู่ตรงกลางแท่น แต่กลับอยู่ทางซ้ายใจก็ไม่ค่อยจะสบาย ก็พูดขึ้นว่า “พระธรรมแห่งเล่าจื้อคลุมไปทั่วโลก ฉันเป็นศิษย์แห่งเต๋า จะนั่งดูดายไม่สนใจได้อย่างไร จะเป็นการเสื่อมศักดิ์ศรีแห่งเต๋าไป” และแล้วก็ย้ายรูปท่านเล่าจื้อมาไว้ตรงกลางแท่นบูชา

     เมื่อท่านเต๋าหยินผ่านไปแล้ว ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งเข้ามาภายในศาลเจ้า เห็นเข้าก็ตกใจกลัว กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าข้าเอย อิทธิฤทธิ์กว้างใหญ่ไพศาล ทำไมมาประทับอยู่ทางขวาเล่า ความอัครฐานแล้วก็ต้องอยู่ตรงกลางถึงจะถูก” ก็เลยเลื่อนพระพุทธรูปยูไลมาไว้เสียตรงกลาง เรื่องเป็นอย่างนี้เอาพระภูมิแห่งศาสดาทั้งสามมายื้อแย่งแบบนี้ ดูไม่สมควร

     จากเรื่องที่เล่ามา สามารถเห็นได้ว่ามหาสัทธรรมนั้นเสมอภาพ พระแท้ย่อมไม่แก่งแย่ง โดยทั่วไปก็มักพบว่าตามศาลเจ้ามักมีรูปพระศาสดาทั้งสามเรียงกันอยู่ เกื้อหนุนกันอยู่ ยังไม่เคยพบว่าท่านทั้งสามเกิดการทะเลาะเบาะแว้งหรือทำเรื่องที่ไม่ดีงาม ถ้าหากยังมีใจแยกเป็นพรรคเป็นพวกนับเป็นการกระทำของปุถุชนหวังว่าชาวโลกคงพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าว จากวันนี้เป็นต้นไป ต้องละทิ้งเรื่อง “แบ่งเขาแบ่งเรา” “ความคับแคบ” ของจิตใจ เพื่อเป็นการเปิดเส้นทางสู่ความอริยะ เพิ่มความขยันหมั่นเพียร เพื่อความภราดรภาพแห่งสากลโลกนี้เทอญ

หยางเซิงขึ้นบนบัวอาสน์เถิด เราไปเยื่ยมจุดที่สองกันดีกว่า

หยางเซิง: ขอรับกระผม! กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ขอเชิญอาจารย์ออกเดินทางเถิด!

อรหันต์จี้กง: ถึงที่หมายแล้ว

หยางเซิง: ที่นี่เป็นที่ไหน ดูคล้ายกับร้านอาหารนะ

อรหันต์จี้กง: ที่นี่เป็นร้านอาหารตำบลกวงจือ เมืองไถ่หน้ำ เจ้าของร้านเป็นคนแซ่ตั้ง

หยางเซิง: เราจะมาเป็นลูกค้าหรือ

อรหันต์จี้กง: ไม่ใช่ เป็นการเยี่ยมญาติธรรม กิจการของเขาปกติดี ไม่เดือดร้อน แต่ข้าจะเล่าเหตุผลให้เจ้าฟังว่า บ้านนี้มีสองคนพี่น้อง ตัวน้องชายไม่ทำมาหากิน เอาแต่ดื่มเหล้า เมายาไปวันๆส่วนพี่ชายเป็นศิษย์ในโรงเจ ที่เมืองเกียหงี่ มีนิสัยชอบทำบุญสุนทานเป็นนิจเพราะน้องชายได้ผลาญเงินทองไปมากมายจึงเที่ยวกราบไหว้พระตามที่ต่างๆขอให้องค์พระองค์เจ้าได้โปรดดลบันดาล ให้น้องชายได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เพื่อว่าจะไม่ละอายใจต่อพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาด้วยความจริงใจนี้จึงดลใจต่อฟ้าดิน ทำให้เทพยดาต่างรายงาน ต่อเบื้องบน ได้จดบันทึกใน “เส้นทางแห่งความรักในสายเลือด”

หยางเซิง: เพียงคุณงามความดีเท่านั้น ก็ได้จารึกชื่อไว้ในสวรรค์แล้ว

อรหันต์จี้กง: ใช่แล้ว! ก็ในสังคมปัจจุบันนี้ระหว่างสายเลือดกับเงินทอง อย่างไหนสำคัญกว่ากัน มีน้อยนักที่จะคิดถึงพี่น้องพอทุกคนเติบโตขึ้นมา ต่างก็ขอแบ่งแยกมรดกจนต้องฟ้องร้องต่อศาล สายสัมพันธ์ระหว่างสายเลือดขาดสะบั้น พวกที่ยอมเอาเงินเอาทองไปช่วยเหลือพี่น้อง มีความรักดุจแขนขาตนเองหาได้ยากมาก พี่น้องตระกูลตั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่มีการทำบุญมหาศาล เพียงปฏิบัติเท่านี้ก็นับว่ามีค่าอย่างยิ่งแล้ว แม้แต่ ผี เทพยดา ก็ยังให้ความสำคัญ!

หยางเซิง: ถ้าเช่นนั้น ภายภาคหน้าเขาจะได้มรรคผลอะไรบ้าง

อรหันต์จี้กง: พี่รักน้อง น้องก็นับถือพี่ เป็นวิถีแห่งความเป็นพี่นัอง แต่บ้านนี้พี่รักนัอง แต่นัองไม่นับถือพี่ ยากที่จะสามารถมีคุณค่าได้ สภาพอย่างนี้เป็นการฝึกฝนเขาถึงความรักที่มีต่อน้องถึงที่สุด เป็นสิ่งที่พบยากยิ่ง พี่ชายมีจิตยึดมั่นในพระธรรม ร่วมสร้างหนังสือ ปล่อยสัตว์ให้ทานต่างๆเป็นนิจการที่มีจิตรักน้องอย่างเต็มใจเช่นนี้ ย่อมได้มรรคที่สว่างไสวทางหนึ่ง ในบรรดาเส้นทางแห่งคุณธรรมแปดเส้นทาง

     เจ้าหยางขึ้นบนบัวอาสน์เถิด เราจะไปที่เมืองนรก ไปยังสำนักรวมกุศล(รายละเอียดอยู่ในบทที่ 60 หนังสือเที่ยวเมืองนรก) เพื่อดูหลักฐานกันเถิด!

หยางเซิง: ขอรับ! กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ออกเดินทางได้

อรหันต์จี้กง: โฉบทั่วสามแดน คอยโปรดผู้มีบุญวาสนา ดูว่ามีใครเขาจะกลับใจบ้างในคุณธรรมทั้งแปดประการนี้ ใครก็ตามเพียงแต่ปฎิบัติให้ถึงที่สุดเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะไปเที่ยวสวรรค์หรือนรกก็เลือกกันได้ สร้างมหากุศลก็ได้มรรคผลใหญ่สร้างกุศลน้อยก็ได้มรรคผลน้อย กล่าวคือ จะเป็นเทพชั้นสูงหรือเทวดาเล็กๆก็จงเลือกเอา อ้าว ถึงเมืองนรกแล้ว ไปที่สำนักรวมกุศลกันเถอะ

หยางเซิง: เมื่อครั้งแต่งหนังสือเที่ยวเมืองนรก ก็ได้มาที่นี่เท่ากับได้เที่ยวซ้ำอีกครั้ง ที่นี่เหมือนโรงเรียน เหล่าวิญญาณมาเรียนธรรมะก็เยอะแยะ อาศัยโอกาสนี้สอบถามพวกเขาบ้าง

อรหันต์จี้กง: ผู้อำนวยการสำนักมาแล้ว

ผู้อำนวยการ: ขอต้อนรับ ท่านพระจี้กงและคุณหยางเซิงท่านทั้งสองมาถึงที่นี่ในวันนี้ มิทราบว่ามีอะไรจะแนะนำบ้าง?

อรหันต์จี้กง: เราศิษย์อาจารย์ได้รับเทวโองการ แต่งหนังสือเรื่องใหม่ “เส้นทางอริยะ” ยังมิได้เรียนรายงานมาให้ทราบล่วงหน้าก็มารบกวนเสียก่อน ขอท่านผู้อำนวยการโปรดกรุณาด้วย

ผู้อำนวยการ: อ๋อเป็นแบบนี้เอง ที่ชักช้าไปก็โปรดอภัยด้วยหลังจากหนังสือ “เที่ยวเมืองนรก” เผยแผ่ไปแล้ว เกิดการเปลี่ยนแปลงในเมืองนรกไม่น้อย พวกวิญญาณบาปได้รับอภัยโทษไปมายมาย และที่สำนักรวมกุศลนี้ ก็มีเหล่าวิญญาณกุศลเพิ่มเติมขึ้นมาก ท่านทั้งสองเหน็ดเหนื่อย กุศลสูง ขอเชิญนั่งข้างในกัน!

หยางเซิง: ได้รับโองการแต่งหนังสือเพื่อปลอบเตือนชาวโลกยังมิได้ทำกิจจนสำเร็จมิกล้ากล่าวถึงบุญกุศล

อรหันต์จี้กง: เราตามผู้อำนวยการเข้าไปข้างในกันเถิด

หยางเซิง: ก็ดีครับ!... ภายในกว้างขวาง มีทั้งห้องเรียนลานบริหารร่างกาย และบุคคลต่างๆกัน แต่ไม่เห็นมีเครื่องไม้เครื่องมือ

ผู้อำนวยการ: ที่สำนักนี้ รับแต่วิญญาณที่สรัางกุศลสมัยยังมีชีวิตอยู่ พวกเขามีบุญปานกลาง ซึ่งไม่เพียงพอที่จะขึ้นสวรรค์ได้ เขามารับการอบรมเพื่อไปรับตำแหน่งเป็นเทวดาตามโบสถ์วิหาร ศาลเจ้า จะได้รับการบูชาด้วยธูปเทียน หรือก็ช่วยเหลือชาวบ้าน พวกวิญญาณกุศลนี้ ได้รับการอบรมเกี่ยวกับภาษา(โคลงกลอน) วิชาแพทย์และคาถาต่างๆเป็นต้น เพื่อจะได้ช่วยเหลือผู้คน หากแต่ว่าต้องได้รับการทดสอบสภาพจิตด้วยเพื่อไม่ให้เหมือนพวกมนุษย์ที่หลงอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส เมื่อผ่านการทดสอบแล้วจึงจะไปประจำหน้าที่ได้

อรหันต์จี้กง: ขอบคุณที่ชี้แจง แต่วันนี้เราอยากจะสัมภาษณ์วิญญาณกุศลบางท่าน เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้เล่าเรื่อง การสร้างกุศลในชาติที่แล้วมา เพื่อนำมาลงในหนังสือ “เส้นทางอริยะ”

ผู้อำนวยการ: ดีขอรับ! ถ้างั้นกระผมจะนำท่านทั้งสองเข้าเยี่ยมชมภายใน แล้วก็เลือกสัมภาษณ์ตามสะดวก

อรหันต์จี้กง: ขอบคุณท่านผู้อำนวยการ เจ้าหยางเซิง เราเข้าไปสัมภาษณ์วิญญาณกุศลกันเถอะ... เดินมาถึงข้างศาลาพักร้อนแลเห็นวิญญาณกุศลท่านหนึ่ง กำลังเพ่งพินิจอยู่ก็สัมภาษณ์ตามสะดวกเถิด!

ผู้อำนวยการ: ท่านเฮ้ง! เขาทั้งสองคือ พระจี้กงและคุณหยางเป็นคนทรงแห่ง สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ได้รับโองการให้มาแต่งหนังสือเพื่อปลอบเตือนขาวโลก วันนี้ต้องการมาสัมภาษณ์โดยเฉพาะ หวังว่าท่านเฮ้งจะเล่าเรื่องชาติที่แล้วให้กับท่านอรหันต์จี้กงฟัง

อรหันต์จี้กง :อาตมาคือพระจี้กง ได้รับโองการให้มาแต่งหนังสือ “เส้นทางอริยะ” วันนี้ได้มายังสำนักรวมกุศล เพื่อสัมภาษณ์วิญญาณกุศล เพื่อรู้การสร้างกุศลของท่านในอดีตชาติ โปรดกรุณาเอื้อเฟื้อหน่อยเถิด!

วิญญาณกุศล : กระผมมิได้มีการสร้างกุศลอะไรนัก มิอาจรับได้

อรหันต์จี้กง : ท่านวิญญาณเฮ้ง กรุณาอย่าถ่อมตนเลย

วิญญาณกุศล : ถ้าเช่นนั้น กระผมก็จะไม่ปิดบังกุศลเล็กๆน้อยๆที่ได้ทำไว้ จะเล่าให้ฟังตรงๆ เลย ชาติก่อนกระผมเกิดที่เมืองเกาสง มีน้องของผมคนหนึ่งเป็นโรคโปลิโอ เดินเหินไม่สะดวก แต่ละวันผมต้องให้น้องขี่หลังไปโรงเรียน และกลับบ้าน ทำอยู่เช่นนี้เป็นเวลา 6 ปี เมื่อน้องชายจบชั้นมัธยมศึกษา ก็ได้เข้าไปฝึกแก้นาฬิกาและแกะสลักชื่อ ส่วนผมได้เรียนจนจบมัธยมต้น ก็เดินทางไปทำงานในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่งที่เมืองไถ่ปัก บางครั้งก็เที่ยวส่งของ ได้รับค่าแรงเล็กน้อย ก็สู้อดออม ไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แบ่งเงินไว้ใช้สอยเพียงน้อยนิด ที่เหลือส่งไปทางบ้านเพื่อเลี้ยงพ่อแม่ ส่วนน้องชายได้ฝึกฝนอยู่ 4 ปี จนสามารถแก้ไขนาฬิกาและสลักชื่อได้ก็คิดจะเปิดร้านค้าขายของตนเอง แต่เพราะทางบ้านไม่ร่ำรวยไม่มีทุนรอน ผมก็เที่ยวหยิบยืมมาจุนเจือ ก็ยังไม่พอเพียงเลยต้องขึ้นแชร์ จึงมีเงินพอให้น้องได้ค้าขายเล็กๆ น้อยๆในใจคิดว่า น้องชายโชคไม่ดีที่มีขาพิการ ไม่เหมือนกับคนอื่นเขา มีเพียงฝีมือพอหาเลี้ยงชีพได้บ้าง เพื่อพ่อแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงดังนั้น ผมจึงช่วยเหลือสุดความสามารถ เป็นเพราะมีการกู้ยืมเงินไว้มาก และต้องลงแชร์ใช้คืนทุกเดือน ซึ่งเป็นภาระหนักมาก ดังคำพูดที่ว่า “หลังคารั่วอยู่แลัว ฝนยังกระหน่ำซ้ำ” ภายใต้ภาระอันหนักหน่วง ยังถูกลูกแชร์หนีอีก ผมต้องรับภาระชดใช้เพิ่มขึ้นอีก แต่เงินที่หามาได้ไม่เพียงพอกับหนี้สินในที่สุดจึงลาออกจากร้านขายหนังสือ แล้วไปเป็นกรรมกรรับจ้างเพื่อแลกกับค่าแรงที่สูงกว่า แม้ร่างกายจะไม่แข็งแรงแต่เพื่อน้องชายแล้วก็ไม่ยั่นต่อความลำบาก พอเลิกงานร่างกายจึงเจ็บปวดเมื่อยล้า ก็ไม่ปริปากกล่าวโทษ สู้ทนต่อความลำบากอยู่สามปีจึงชดใช้หนี้เขาหมด จึงได้กลับบ้านเดิม และเปิดร้านค้าของชำเล็กๆ เป็นเพราะช่วยเหลือน้องๆ จนอายุล่วงเลยวัยหนุ่ม ได้แต่งงานเมื่ออายุ 32 ปี ตลอดชีวิตเพียงสอนให้ผู้คนรู้จักอดทนลำบาก และศรัทธากราบไหว้พระเจ้ากวนอูผลที่สุดน้องก็ประสบความสำเร็จ จนได้แต่งงานแต่งการเรียบร้อย ผมจึงสบายใจได้ เมื่ออายุได้ 58 ปี ก็ล้มป่วยจนสิ้นชีวิต วิญญาณได้มายังเมืองยมบาล ท่านยมบาลเห็นในความดีของผมที่มีความรักในสายเลือด เมื่อได้ลบล้างความผิดในชาติก่อนๆ แล้ว จึงได้เข้ามายัง “สำนักรวมกุศล” เพื่อฝึกอบรม ภายหน้าจะได้รับหน้าที่เป็นเทวดารักษาศาลเจ้าแห่งพระเจ้ากวนอู เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้

อรหันต์จี้กง : อนุโมทนา ! ท่านเฮ้งได้ปฏิบัตธรรมะอย่างหนักหน่วงแม้แต่อาตมายังรู้สึกซึ้งใจอย่างยิ่ง นับว่าหาได้ยากยิ่ง “ความรักในสายเลือด” ในสังคมปัจจุบัน อาตมาอยากจะช่วยให้ท่านเฮ้งได้ไปฝึกฝนยังแดนสุขาวดี จะได้ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด

วิญญาณกุศล :มิกล้าขอรับ !ท่านยมบาลได้ชำระความดีความชอบแล้ว จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ

อรหันต์จี้กง :อาตมารับผิดชอบในการโปรดสัตว์ทั้งสามโลกบังเอิญได้จัดทำหนังสือ “เส้นทางอริยะ” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ชาวโลกได้ประพฤติตนให้อยู่ใน ศีลห้า คุณธรรมแปด เพื่อเปลี่ยนแปลงความเลวร้ายของสังคมให้ดีขึ้น เพื่อให้ชาวโลกที่กำลังทะเลาะเบาะแว้ง แก่งแยีงมรดกกันจนโกรธกันไปเลยจะได้กลับใจมาคืนดีกัน ปรองดองกัน เพราะฉะนั้น อาตมาจึงยอมที่จะชักนำท่าน เพื่อให้เรื่องนี้ได้บันทึกลงในหนังสือเพื่อเป็นการปลอบเตือนชาวโลก

วิญญาณกุศล :ถ้าหากเป็นเช่นนี้นั้นก็ยินดีขอรับ สุดแท้แต่ท่านพระจี้กงจะวินิจฉัย

อรหันต์จี้กง :  ดีแล้ว! เรื่องนี้อาตมากับผู้อำนวยการ และพระอรหันต์กษิติครรภ์ คงจะเห็นด้วย ท่านจงวางใจ

ผู้อำนวยการ : ท่านพระจี้กงมีเมตตาปราณี ยอมที่จะโปรดผู้กุศลได้ขึ้นสวรรค์ ขอรับคำบัญชา

อรหันต์จี้กง : อาตมามีหนังสือเรียนถึงท่านอรหันต์กษิติครรถ์โปรดพิจารณา

ผู้อำนวยการ :  ขอรับกระผม!

อรหันต์จี้กง : วิญญาณกุศล คุณเฮ้ง โปรดฟัง ขณะนี้ประสบโอกาส ทางสวรรค์กำลังโปรดสัตว์ ขอเพียงมีคนเกิดจิตกุศลย่อมมีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์ ประวัติที่ผ่านมาสามารถเป็นกระจกเงาปลอมเตือนชาวโลกได้ ดังนั้น จึงได้อนุเคราะห็ผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ถึงแม้จะยังไม่บรรลุ ก็มิอาจขึ้นสู่มหายานได้ก็ยากที่จะได้ขึ้นนสู่ดินแดนสุขสุดได้ จงดูพัดกกในมืออาตมาซิมีคำกล่าวว่า

            โบกฟ้าฟ้าสดศรี            โบกพัดมนุษย์เพื่อ

           พัดนี้ใช่ธรรมดา              ทางสู่สวรรค์เฉียบ

           หากรู้ลุสุขาวดี                 พัดให้ฝันสลาย

           พัดให้คลายหลงใหล        ความผิดที่ฟอกหนา  

โบกปฐพีอุดมเหลือ                                 มนุษย์รู้สู่สวรรค์

           ช่วยพัดพาจิตรังสรรค์                   ราบเรียบยิ่งอยู่ตรงหน้า

           หลุดวิถีวนเวียนร้าย                     กลายเป็นลมจากชายฟ้า

           คายเกลียวหน่ายหายซาบซ่า           จักจางคลายเบาใจเอย  

วิญญาณกุศล : ขอบพระคุณท่านอรหันต์ที่รับกระผมเป็นศิษย์แถมยังชี้ทางสว่าง กราบขอบพระคุณ

อรหันต์จี้กง : มิต้องเกรงใจหรอกติดตามอาตมาและหยางเซิงกลับสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งก่อนแลัวค่อยพาท่านไปยังแดนสุขาวดีนับว่าได้เลื่อนขั้นเพื่อการฝึกฝนจิตเดิม หยางเซิงขึ้นบนบัวอาสน์เตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง : ขอบคุณผู้อำนวยการที่ชี้แนะ และขอบคุณมากกับท่านวิญญาณกุศล คุณเฮ้ง ที่เล่าเรื่องราวอตีต....

อรหันต์จี้กง : ผู้มีบุญวาสนาขึ้นยานลำเดียวกันจะแยกเขาเราและต่างสกุลได้อย่างไร น่าเสียใจที่คนในโลกนี้ แม้มีสกุลร่วมสายเลือดเดียวกัน แต่กลับแย่งมรดก ขัดใจพ่อแม่ ความสนิทอันยาวนานก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน! วันนี้จะนำวิญญาณกุศลท่านหนึ่งไปยังสวรรค์ ตามเส้นทางความรักพี่น้อง... สำนักเซี้ยเต็กตึ้งถึงแล้ว หยางเซิงลงจากบัวอาสน์วิญญาณกลับเข้าร่าง

More Posts