เส้นทางอริยะ ตอนที่หนึ่ง

2024-08-11 11:28:05 - mindcyber

เปิดทางอริยะ แปรจิตปุถุชน       ประชาเจริญคุณธรรม พระจี้กงโปรดทั่วทิศ

อรหันต์จี้กงเสด็จประทับทรง วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2525

กลอนนำเสด็จ

           รถคันแรกเคลื่อนสู่         นำชนวิริยะ

แดนสุขาวดี                               นรกก็ไม่ไกล

เส้นทางสายอริยะ                       ผ่านด่านลี้ลับฉับไว

ใช้ริบหรี่แค่โน้มใจ                     หากก่อกรรมทำเหี้ยมโหด

อรหันต์จี้กง :ท่องเที่ยวทั่ว ทั้งสวรรค์ นรก อีกทั้งสัมภาษณ์สัตว์เดรัจฉาน จนแต่งเป็นหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” เสร็จไปอีกเล่มหนึ่ง ใช้เวลาไปถึงหนึ่งปีเต็ม เป็นเพราะต้องกสนเปิดประตูบานใหญ่เพื่อโปรดสัตว์ทั้งสามโลก ให้ปวงชนในทุกศาสนาได้กลับใจไปสู่ทางบุญ ทางกุศล ดังคำกล่าวที่ว่า “เดินทางหมื่นลี้อ่านคัมภีร์หมื่นเล่ม”

     หลังจากหนังสือ “วงเวียนกรรมของสัตว์โลก” ได้ทำเสร็จสิ้นลงแล้ว ก็ไม่อาจที่จะไม่เปิดเส้นทางสายใหม่อีกสายหนึ่ง เพื่อเป็นการรองรับปวงชนที่เพิ่มขึ้น อาตมาและศิษย์หยาง คอยติดตามอยู่ทั้งทางขวาและซ้ายของผู้ปฏิบัติธรรมบนถนนเส้นทางชีวิตสายนี้ ได้ตระเตรียม อาหาร ของว่าง เพื่อไว้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้บำรุงเลี้ยง ด้วยเหตุนี้ วันนี้ก็ได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จแม่อีกครั้ง ให้นำพาคุณหยางเซิงไปตระเวนเที่ยวทั้งสามแดน เพื่อแต่งหนังสือใหม่อีกเล่ม ได้แก่ “เส้นทางอริยะ” ขอให้พวกท่านได้โปรดมาช่วยกันถากถางก่อสร้างเส้นทางสายใหม่นี้ด้วย ร่วมทุกข์ร่วมสุข เพื่อกล่อมเกลาโปรดผู้คน สร้างสรรค์ความสุขแก่มวลมนุษย์ ขยันเข้าเถิด !

หยางเซิง  : ติดตามอาจารย์มาหกปี ได้แต่งหนังสือท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆกัน ก็นับว่าเป็นเวลาอันยาวนานพอสมควร วันนี้เห็นท่านอาจารย์นำจอบ เสียม มีดพร้า ทำราวกับจะไปถางป่าอย่างนั้น โดยไม่มีท่าทางอิดโรย ท้อแท้ ทั้ง ๆ ที่มนุษย์นั้นโปรดยากเสียจริง กลับกระฉับกระเฉงเช่นนี้ กระผมศิษย์โง่เลื่อมใสยิ่งนัก ปัจจุบันวิทยาการก้าวหน้า การก่อสร้างทางล้วนมีเครื่องจักรกลทำงาน ทำไมท่านอาจารย์ยังคงใช้เครื่องมืออันเก่าแก่เช่นนนี้อีก กระผมเกรงว่า กว่าจะเปิดเส้นทางสายใหญ่สักสายหนึ่ง คงมิใช่ใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น คงจะไม่ทันการละกระมัง

อรหันต์จี้กง : ถึงแม้วิทยาการจะก้าวหน้า มีเครื่องจักรกลช่วยสร้างถนนแล้ว ถนนที่สร้างเสร็จก็เป็นเส้นตรงและสวยงามหากแต่ว่าผู้คนที่วิ่งอยู่บนถนนนั้น จะมีสักกี่คนที่เป็น “คนตรง” ล่ะ?

     อาตมาใช้จอบอันนี้ด้วยสติอันแน่วแน่ ขุดเอาสันดอนอันไม่เรียบราบของจิตคน และใช้มีดพร้าเล่มนี้คอยตัดสังโยชน์(คือ กิเลสอันเป็นเครื่องร้อยรัด มีอยู่ 10 ประการ)ที่เกาะยึดอยู่กับจิต ถึงแม้ไม่มี “เครื่องจักรกล” แต่ก็มี “เครื่องเปิดใจ” ไม่มี “มือกล” ก็มี “พุทธกร” ใครก็ตามที่อาตมาได้ขุดได้ตัด รับรองว่าเดินทางได้ราบเรียบ สู่สรวงสวรรค์หากเจ้าไม่เชื่อ ก็ดูอย่างในเมืองซิ มีถนนแต่จราตรติดขัดมิใช่หรือ แต่ที่นอกเมือง อาตมาใช้จอบนี่แหละคอยถางอารมณ์คนให้สงบ (ชุดคอรัปชั่น กำราบคนบาป) ดังนั้น ทางที่อาตมาได้ถากถางเสร็จแล้ว ผู้คนก็สัญจรไปมาปลอดภัย ไม่มีสีหน้าคอยหวาดระแวงให้เห็น (ทั้งคน ทั้งรถก็ติดขัด ประเดี๋ยวใจหาย ใจคว่ำ อย่างเช่น มีการแก่งแย่งชิงกัน คอยหวาดระแวงใส่ร้ายกัน เป็นต้น) มองดูอย่างนี้แล้ว เส้นทางเก่า (ไม่มีวิทยาการ) กลับเดินสบายไม่ติดขัด (บนเส้นทางชนบทที่สะอาดแม้จะไม่ราบเรียบเหมือนราดยาง แต่เต็มไปด้วยรอยเท้าของชาวนาชาวไร่ที่ซื่อ ๆ ถึงแม้จะเดินหรือวิ่งเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีอุบัติเหตุเหมือนรถยนต์)

     การจะโปรดคน มิใช่จะกระทำเพียงหนึ่งหรือสองปีแล้วก็หยุด ดังนั้น “จี้กง” คือ “ก๋งผู้ซื่อ” ทะยานอยู่บนบัวอาสน์ประดุจม้าไม่ชะลอฝีเท้า ท่องไปทั่วทั้งสามโลก สามัญชนกล่าวว่า “บวชเป็นพระหนึ่งวัน ก็ตีระฆังไปหนึ่งที” แล้วยังจะมีอะไรน่าจะกล่าวอีกเล่า

หยางเซิง : ท่านอาจารย์มีความกระตอรือร้นอย่างยิ่งยวด กระผมรู้สึกเลื่อมใส !

อรหันต์จี้กง : อาตมาก็ยังยึดมั่นในคำว่า ได้รับภาระหนักร่วมกับปวงชน ช่วยเหลือกันปลุกเร้า ให้กำลังใจ ความเสื่อมทรามของสภาพสังคน ที่เต็มไปด้วยการคอรัปชั่น ปล้นจี้ ข่มขืน และการพนัน ล้วนเป็นปัญหาทางศาลที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน พวกอาชญากรเหล่านี้ ในที่สุดก็ต้องไปสู่คุกตะราง หรือไม่ก็ถูกชาวบ้านถ่มถุย วัตถุเจริญก้าวหน้านับว่ามนุษย์ได้รับความสะดวกสบายขึ้นมากมาย แต่จิตใจกลับว่างเปล่า หรือไม่ก็เต็มไปด้วย สุรา – นารี ดังนั้น เพื่อจะให้ดวงจิตมนุษย์มีความมั่นคง “เส้นทางอริยะ” ก็คือ “เส้นทางที่สว่างไสวอันยิ่งใหญ่” เส้นทางนี้ยิ่งวันก็ยิ่งมีผู้คนต้อนรับมากขึ้น การอุทิศตนสู่ “ทางอริยะ” ผู้เข้าเรียนพุทธรรมก็นับวันจะมีมากขึ้นและเพราะมีผู้คนมากขึ้นก็อาจมีความวุ่นวายไม่น้อย เพราะขาดระเบียบและหลักการ อาจวิ่งหลงทางก็ได้ เพื่อผู้ที่มีจิตปฏิบัติธรรมจะไม่หลงหรือคล้อยตามงมงาย ด้วยเหตุนี้ อาตมาจึงได้รับโองการให้เปิดทางสายใหม่ (แม้จะเป็นถนนสายเก่า ถ้าหากสามารถปรับปรุงแก้ไข ลงมือปรับดินถมแต่ง แต่ก็ต้องไม่ลืมหลักการเดิม) โดยมีศิษย์หยางร่วมด้วย บน “เส้นทางอริยะ” ปักป้ายชื่อถนนใหม่เพื่อเป็นการบอกทิศทางแก่ผู้สัญจรที่ต้องการเดินทางตามเส้นสายนี้จะได้ไม่หลงทาง หรือเกิดความคิดเห็นอย่างอื่น

หยางเซิง : พื้นจิตของมนุษย์ยากที่จะปรับให้เรียบ เห็นทีเราต้องสวมวิญญาณแห่งผู้บุกเบิกมาช่วยพวกเขาถากถางพงหนาม เพื่อให้พวกเขาได้ไถหว่าน บำรุงเลี้ยงต้นกล้าธรรม

อรหันต์จี้กง : ในสมัยพระพุธองค์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระพุทธองค์กำลังนำสานุศิษย์ออกบิณฑบาตอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง อันเป็นเวลาพอดีที่ชาวบ้านกำลังลงนาทำงานกันอยู่ พอได้เวลาเพล พวกชาวนากำลังเตรียมตัวจะรับประทานอาหารกลางวันกัน ขณะนั้นพระพุทธองค์ทรงย่างก้าวอย่างสงบเสงี่ยม ด้วยดวงจิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม ดำเนินมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเพื่อขอบิณฑบาต ก็พอดีมีชาวนาผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้นมาว่า “การมาเยือนของพระพุทธองค์ พวกกระผมทั้งหลายปลื้มปีติยินดียิ่ง เพราะพระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้ ช่วยปลดทุกข์ให้อย่างแท้จริง แต่เหตุไฉนพระพุทธองค์จึงได้นำพาเหล่าสานุศิษย์จำนวนมากมายโดยไม่ทำงานเล่า ? เที่ยวออกบิณฑบาตยังชีพ พวกกระผมเสียอีกที่มีกิจการงานที่ชอบทำอยู่ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง ดายหญ้า ไถคราด อยู่ทุกวันจึงได้ข้าวปลาอาหารอย่างนี้จึงจะถูกต้องใช่ไหม ? พระพุทธองค์ทรงสดับฟังแลัวโน้มเศียรแย้มโอษฐ์ตรัสว่า “ถูกต้อง แต่ละคนควรจะมีอาชีพที่สุจริต ขยันขันแข็งในการทำงาน จึงจะได้ผลตอบแทน สำหรับอาตมาและสานุศิษย์นั้นก็เช่นเดียวกับพวกท่าน กำลังไถคราด ขจัดวัชพืช ลงเมล็ด สิ่งเหล่านี้ล้วนสุจริต โดยอาศัยความยากลำบากในการไถหว่านเพื่อที่จะได้ข้าวมายังชีพ” ชาวนาได้ฟังก็แปลกใจยิ่ง จึงถามว่า “พวกท่านกำลังลงเมล็ดอะไรกัน แล้วใช้อะไรไถคราด เลี้ยงโค กระบืออะไรกัน ทำไมพวกเราไม่เห็นมีอะไรเลย

     พระพุทธองค์ก็ตรัสตอบว่า “อุบาสก เหล่าอาตมาเฝ้าระมัดระวังเลี้ยง “โคขันติ” เช้าค่ำ ถือ “จอบวิริยะ” คอยถากถางหญ้าทุกข์กังวล แล้วก็ลงเมล็ดปัญญาแก่ปวงชนจนได้อริยผล ประทานให้แก่ปวงชนและตนเอง พวกเธอทั้งหลายยังมีเวลาพักผ่อน เหล่าอาตมาตั้งแต่เช้าจรดกลางคืนต้องคอยเฝ้าให้น้ำ (อบรมบ่มจิต) โดยไม่เห็นแก่การพักผ่อน ด้วยความขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ ไม่เพียงแต่พวกเธอจะนึกไม่ถึงแล้ว ดังนั้นขอให้พวกเธออย่าได้ดูแคลนเหล่าอาตมาเลย”

     จากเรื่องราวที่กล่าวมา ทำให้พวกเราเข้าใจถึงการไถหว่านอย่างธรรมดา เพียงแต่ทำให้อิ่มท้องอันเป็นความต้องการของเนื้อหนังเท่านั้น ถ้าเทียบถึงการไถหว่านของจิต ไม่เพียงแต่รกรุงรังสุดทน ยังต้องทนต่อความอัปยศอดสู มี ขันติ วิริยะ ความกังวล บุญวาสนา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นจุดมุ่งหมายสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมต้องขยันขันแข็งฝึกฝนไป ในระหว่างการบำเพ็ญบนเส้นทางอริยะ ทุกคนมักพบกับอุปสรรคนานาชนิด ต้องฟันฝ่าไปให้ได้ โดยมีจิตเชื่อมั่น ซึ่งก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก วันเวลาผ่านๆไป บางครั้งก็มีมารภายนอกเข้าโจมตีจิตอยู่เหมือนกัน เส้นทางทะลุสู่ ภาผาจิต(ทางบนภูเขา) เป็นหนทางที่ขรุขระ สัญจรลำบาก พวกเราต้องหาวิธีการต่างๆ ที่จะผ่านจุดยุ่งยากแต่ละจุดต้องผ่านการทดสอบต่างๆ บนเส้นทางอริยะนี้ อาตมาจะพาศิษย์หยางเที่ยวเสาะหาตัวอย่างเรื่องราวต่างๆ มาให้ทุกคนได้พินิจพิจารณากัน

หยางเซิง : ถ้าเช่นนั้น สถานีแรกบนเส้นทางอริยะนี้ จะไปที่ไหนล่ะ

อรหันต์จี้กง : เส้นทางสวรรค์ก็ถูกสร้างโดยทางมนุษย์นั่นเองสถานีแรกคงเป็น “คุณธรรมแปด” นะ!

หยางเซิง : ทำไมอาจารย์ไม่เรียกกระผมขึ้นนั่งบนบัวอาสน์ล่ะ

อรหันต์จี้กง : ผู้บุกเบิกแบกจอบเสียมเพื่อเปิดเส้นทางใหม่ในวันแรก คงต้องเดินกันไปจะดีกว่า ไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่า “ถนนคือทางที่คนเดินออกไป” รีบๆ เดินตามอาจารย์ออกจากเซี้ยเฮี้ยงตึ้งกันเถอะ!

หยางเซิง : ครับ!เดินตามหลังอาจารย์ เห็นอาจารย์ซอยเท้าเร็วขึ้น ราวกับว่าจะเหาะขึ้นไปปานนั้น กระผมตามไม่ทันเลยเหงื่อชุ่มตัวไปหมดแล้ว หอบจนหายใจไม่ทันแล้ว โอ๊ย ! ขอท่านอาจารย์รอหน่อย ถ้าไม่...ก็คงตามไม่ทันแน่!

อรหันต์จี้กง : ตามไม่ทันก็วิ่งเอาเองซิ ลืมไปแล้วหรือว่า “ถนนคือทางที่คนเดินออกไป”

หยางเซิง : ชั่วแว้บเดียวก็ไม่เห็นเงาท่านอาจารย์แล้ว เลยต้องเร่งฝีเท้า วิ่งไปตามทิศทางที่อาจารย์หายตัวไป เพื่อค้นหา “ท่านอรหันต์” ขาทั้งสองข้างค่อยๆ ไม่มีความรูสึก....คล้ายๆ กับว่าฝีเท้ายิ่งเร็วก็ยิ่งเบา .. โอ้! เท้าทั้งคู่เหมือนเหยียบบนอากาศ ราวกับบินไปเองปานนั้น ...ข้างหน้ามีประกายแสงระยิบระยับ ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งเจิดจรัส..ชั่วครู่เดียวก็มาถึง..ดูเหมือนแดนต่อแดน ระหว่างมนุษย์กับยมโลก (อิมเยี้ยงก่าย) ทางด้านซ้ายมีคนร้องห่มร้องไห้ดูเหมือนกำลังไปเมืองนรก ทางด้านขวามีถนนใหญ่สายหนึ่งกว้างขวางและราบเรียบ แบ่งเป็นถนนหลักแปดสาย แต่ละสายก็มีป้ายปักบอกชื่อถนนไว้ อาทิเช่น “ถนนกตัญญู” “ ถนนรักพี่น้อง” “ถนนรักชาติ” (ถนนจงรักภักดี) “ถนนสัจจะ” “ถนนสัมมาคารวะ” “ถนนสัตย์ธรรม” “ถนนสันโดษ” และ “ถนนหิริโอตัปปะ” อ๋อ...ที่นีคือ สถานีคุณธรรมแปดที่อาจารย์พูดถึงใช่ไหมหนอ..(ทันทีก็แลเห็นอาจารย์ปรากฎกายออกมาจากข้างถนนพร้อมเสียงหัวเราะอันดัง!)

อรหันต์จี้กง : ฮาฮ้า ! ที่นี่ก็คือ แดนระหว่างแดนมนุษย์กับยมโลก(อิมเอี้ยงก่าย) ถนนคุณธรรมแปดนี้ เป็นเส้นทางไปสู่สวรรค์ปัจจุบันคนเราเมื่อปฏิบัติธรรม มิควรหลีกห่างจากวินัยสี่คุณธรรมแปด เมื่อใครก็ตามที่ขาดคุณธรรมแปดนี้ ความประพฤติก็จะเหลวแหลก แล้วไปทางสวรรค์ได้ที่ไหน? เดี๋ยวนี้มหาธรรมทอดลงสู่โลกแล้ว (ที่ทอดมาคือ ถนนคุณธรรมแปด) เพื่อแก้ไขเส้นทางในโลกนี้ให้ถูกต้อง (เพราะเส้นทางในโลกไม่ราบเรียบ ทุกแห่งเต็มไปด้วยความอกตัญญู การคดโกงไร้สัจจะ ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่กลัวบาปและไม่ละอายใจ ดังนั้น เดี๋ยวนี้คนจึงมีสภาพเหมือนสัตว์นรกแปลงกาย) ปรับจิตคนให้เรียบร้อย (ปรับปรุงจิตคนที่เต็มไปด้วย โลภ โกรธ หลง) เพื่อให้สังคมสงบสุขมนุษยชาติเต็มไปด้วยสิริมงคล สันติภาพร่าเริง ไม่มีพวกพาลเกเรจนมักได้รับอันตรายบ่อยๆ ตลอดจนความกดขี่จนถึงชีวิตก็ได้ เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญธรรมทุกวันนี้ อย่าเห็นว่าเพราะธรรมะพิสดารล้ำลึก หรือไม่ก็ยึดแต่เปลือกกระพี้ ไม่ห่วงความถูกต้อง สักแต่ปากถือศีล ตัวถือธรรม อาทิ สวดมนต์ กินเจ บรรยายธรรม และทำสมาธิเป็นต้น ความจริงต้องมีจิตบำเพ็ญ ค้นหาพุทธจิตให้พบ ต้องมีจิตยึดมั่นบำเพ็ญเพียร ประพฤติคุณธรรมแปดให้ถูกต้องเมื่อทำได้เช่นนี้แล้ว ท่านก็จะเป็นเซียนองค์หนึ่งในแปดเซียนก็ได้

หยางเซิง : แหม! ท่านอาจารย์ทำไมวิ่งเร็วอย่างนั้น ทำให้กระผมตามไม่ทัน ดีที่ไม่ผิดทิศทางจึงมาพบอาจารย์ที่สถานี “คุณธรรมแปด”ได้

อรหันต์จี้กง : คนที่เดินทาง หากใจไม่วอกแวก เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า อยู่ในโลกไม่ติดฝุ่นกิเลส ย่อมไปถึงฝั่งนิพพานแน่นอนหยางเซิงถึงแม้จะชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ก็มีความสามารถก้าวสู่ “เส้นทางอริย” ได้

หยางเซิง : ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า มีคนประเภทไหนที่สามารถมาเดินอยู่บนถนนแห่งคุธรรมแปดนี้ได้

อรหันต์จี้กง : เนื่องด้วยสวรรค์กำลังโปรดสัตว์ ผู้ใดก็ตามที่สามารถดำรงอยู่ในคุณธรรมแปดประการ แม้ข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ ก็สามารถมีคุณสมบัติที่จะมายังสวรรค์ แดนสุขาวดีนี้ได้

หยางเซิง : หากเป็นเช่นนี้ การขึ้นสู่สวรรค์มิง่ายเพียงพลิกฝ่ามือหรอกหรือ

อรหันต์จี้กง : แม้จะง่ายดังพลิกฝ่ามือ แต่หลายคนก็ละทิ้งหนทางนี้มัวแต่เจาะหาที่ยอดเขาควาย ห่างไกลจากมนุษยธรรม ทางอริยะก็เลยไม่ได้เจอะเจอเลย เจ้าเห็นมีกลุ่มคนเดินมาทางด้านหน้าโน้นไหมล่ะ พวกเขาเดินมายัง “ถนนกตัญญู” เขาคงเป็นลูกกตัญญูแน่นอน เราเข้าไปถามไถ่ดูก็ได้

หยางเซิง : จริงซิ มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาข้างหน้า ภายในกลุ่มคนมีอยู่คนหนึ่ง อายุประมาณสักห้าสิบปีเห็นจะได้ ได้รับการแห่แหนจากเหล่าเทพเทวดา ดูเหมือนเขามีความร่าเริงมากขอท่านผู้อาวุโสโปรดหยุดสักครู่เถิด โปรดได้เราได้ซักถามสักหน่อย กระผมเป็นคนทรงแห่งเซี้ยเฉี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ได้รับโองการมาพร้อมกับท่านอาจารย์จี้กง เพื่อแต่งหนังสือ “เส้นทางอริยะ” วันนี้ได้มาเที่ยวถึงที่นี่ ก็ได้บังเอิญพบท่านกำลังจะขึ้นสู่สวรรค์ ของเพียงท่านช่วยเล่าถึงวิธีบำเพ็ญธรรมของท่านสักเล็กน้อยเถิด

วิญญาณกุศล : ที่แท้คือ ท่านอาจารย์พระจี้กง และท่านนักธรรมหยาง ตอนที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ในโลก ได้อ่านหนังสือเที่ยงเมืองนรกและสวรรค์ ของท่าน ได้ทำให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งรู้สึกเลื่อมใสยิ่ง บุญบารมีของท่านยิ่งใหญ่เหลือคณาแล้ว วันนี้นับว่ามีโชควาสนาอย่างมากในชีวิต ที่ได้พบหน้าท่านทั้งสอง

ตอนนี้ก็ขอเล่าเรื่องของข้าพเจ้าเพียงสังเขป

     ข้าพเจ้าเป็นชาวไถ่ปัก (กรุงไทเป) มารดาและภรรยาเสียชีวิตตอนข้าพเจ้ายังหนุ่มๆ พออายุได้สามสิบปีก็ได้เข้าศึกษาพุทธธรรม และได้กินเจ สนใจศึกษาพระสูตรและฝึกฝนอบรมจิตเสมอ คอยแนะนำสั่งสอนผู้คนให้ปฏิบัติธรรม ที่บ้านก็ยังมีบิดาวัยชราอยู่ เนื่องจากเป็นโรคลม เดินเหินไม่สู้สะดวกบางครั้งก็ไม่ค่อยจะรู้สึกตัว ข้าพเจ้าเฝ้าปรนนิบัติป้อนหยูกยาและอาหารทั้งสามมื้อ เช็ดล้างชำระกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า คอยประคบน้ำอุ่นทุกวันคืน เฝ้าวิงวอนต่อเทพ พุทธ โปรดเมตตาช่วยให้บิดาได้หายวันหายคืน แต่อาการโรคก็มิได้ทุเลาลงเลยข้าพเจ้าต้องทำนาเลี้ยงชีพด้วย แล้วก็หาเวลาว่างศึกษาธรรมะช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อพบผู้ยากจนหรือสาธารณกุศล ก็ร่วมบริจาคทั้งเงินและแรงกาย เพราะรู้ว่าตนเองมีวิบากกรรมหนัก เพราะไม่อาจมีครอบครัวที่ผาสุกได้ รู้สึกสำนึกอยู่ในใจเสมอ บิดาเจ็บป่วยนับเป็นเวลาได้สิบปี เมื่อห้าปีก่อนจึงได้ถึงแก่กรรมลงและเป็นเพราะว่าข้าพเจ้าเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจัดงานศพเสร็จสิ้นลง เห็นทุกอย่างวางเฉย ได้ แต่บำเพ็ญธรรมแต่อย่างเดียว ในที่สุดได้ละร่างเมื่อ 5 วันก่อน เหล่าเทพเทวดาได้ชักนำวันนี้ก็จะไปรายงานตัวยังสุขาวดีแดนพุทธเกษตร พอดีมาถึงที่นี่ได้พบกับท่าน นับว่ามีบุญวาสนายอย่างยิ่งในชีวิต ขอนมัสการท่านพระจี้กง!

อรหันต์จี้กง :เจริญพร ท่านมี่ความศรัทธาบำเพ็ญตนเพื่ออริยมรรค และปรนนิบัติบิดาอย่างดียิ่ง จึงได้รับบุญกุศลจากความกตัญญูแห่งคุณธรรมแปด นับว่าได้รับอริยผลไม่น้อยไปปฏิสนธิใหม่ยังแดนสุขาวดี โดยมิต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด จึงขอตักเตือนทุกคน ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ต้องจำไว้เใมอว่า “อันกุศลทั้งปวงความกตัญญูเป็นเลิศเสมอ” สวรรค์ย่อมไม่มีเทพ พุทธที่อกตัญญู ขอเพียงแต่กตัญญูให้ถึงที่สุด ปุถุชนก็สามารถสำเร็จมรรคผลได้

     เส้นทางอริยะในวันนี้ ได้พาให้รู้จักถึง “ถนนกตัญญู” เป็นคนแรก ขอให้ทุกคนเข้าใจถึงความกตัญญูอย่างถ่องแท้หากไม่รู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ ก็ไม่สามารถกตัญญูต่อฟ้าดินได้ก็เปรียบประดุจไม่กตัญญู่ต่อพระมารดาแห่งสวรรค์ ดังนั้นจะกลับสู่อ้อมอกพระมารดาได้อย่างไร แม้อยากได้ไออุ่นแห่งอกแม่ ก็ยากที่จะพบได้อีกแล้ว

     วันนี้มาเที่ยวถึงที่นี่พอแล้ว เจ้าหยางเซิงขึ้นบนอาสน์เถิด เตรียมกลับสำนักโดยไม่ต้องวิ่งกลับหรอก

หยางเซิง : ครับ อาจารย์!

 อรหันต์จี้กง : เซี้ยเต็กตึ้งถึงแล้ว เจ้าหยางเซิงลงจากบัวอาสน์ได้วิญญาณกลับเข้าร่างเดิม

More Posts