ปัญญาชนคนโง่
2023-10-15 03:44:20 - mindcyber
โจวปา เป็นบัณฑิตแห่งอำเภอผิงหยัง ตั้งแต่อายุได้สิบหกปี เขาถือกำเนิดที่อำเภอผิงหยัง มณฑลเจ้อเจียง ในสมัยราชวงศ์หมิง รัชสมัยหมิงเต๋อ เมื่อครั้งเป็นเด็ก เขาได้รับสมญาว่า "หนูน้อยมหัศจรรย์" โจวปาเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และจดจำได้แม่นยำ ระหว่างอายุเจ็ดขวบ ก็สามารถท่องเขียนโคลงกลอนบทกวีนิพนธ์ได้อย่างคล่องแคล่ว พ่อแม่มีความภาคภูมิใจในตัวเขามาก ทะนุถนอมเอาอกเอาใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะย่างเก้าไปที่ใด โจวปาจะได้ยินแต่คำชื่นชมและได้รับการต้อนรับด้วยคำสนใจยินดี สิ่งเหล่านี้ แม้จะมีส่วนช่วยให้โจวปามีความมั่นใจในตนเอง แต่ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้โจวปาสำคัญตนผิดคิดว่าตัววิเศษกว่าใครๆลำพองตน
จนในที่สุด เขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่มที่เย่อหยิ่ง จองหอง เจ้าอารมณ์ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย แม้ว่าโจวปาจะหยาบคาย ไม่มีสัมมาคารวะต่อเพื่อนบ้านพี่ป้าน้าอาทั้งหลายอย่างไร ทุกคนก็ยังหลงเปรมปลื้มในความเป็นเด็กอัจฉริยะของเขา ที่เอาไว้เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล และชื่อเสียงของชาวอำเภอผิงหยัง ทุกคนจึงโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมรับความหยาบคายของเขาเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เคยมีใครว่ากล่าว ตำหนิติเตียนเขาต่อหน้าเลยแม้แต่พ่อแม่ของเขาก็เช่นกัน เพราะเจียมตัวว่าตัวเองเป็นเพียงตาสียายสา มีลูกเรืองปัญญาขนาดนี้ได้ก็นับว่าบุญโขอยู่แล้ว โจวปามีพฤติการณ์ก้าวร้าวรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวัน โดยที่ตัวเขาเองก็หารู้ไม่
ปีหนึ่งเมื่อถึงกำหนดสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิตหลวง พ่อแม่ของโจวปาตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด ทั้งสองช่วยกันเตรียมการล่วงหน้านานนับเดือน เที่ยวกู้หนี้ยืมสิน ขายที่นาทำกิน เก็บเงินเก็บทองไว้เป็นค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายแรมเดือนสำหรับลูกชายสุดที่รัก แม่จัดเตรียมตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้หลายชุด เพื่อให้สมเกียรติบัณฑิตหลวง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียลูกก็จะต้องสอบได้ไม่พลาดในส่วนของพ่อแม่ ทุกอย่างคือความตั้งใจความพยายามเป็นที่สุดที่จะให้ลูกมีทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์ แต่โจวปากลับไม่พอใจทุกอย่างที่พ่อแม่จัดเตรียมให้ โจวปาโกรธมาก เมื่อรู้จำนวนเงินที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้เป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่อยู่เมืองหลวง เขาดูถูกจำนวนเงินเล็กน้อยนั้น โจวปาฮึดฮัด ขว้างปาเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่พ่อแม่จัดเตรียมไว้ให้อย่างดี เขาว่าเสื้อผ้าที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ไม่สมสมัย รองเท้าสีเข้มไป ฯลฯ ทุกอย่างที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ไม่มีอะไรดีเลย ท่าทียะโสโอหังหยามเหยียดน้ำใจพ่อแม่ขนาดนี้ทำให้พ่อแม่เหลืออด จึงพูดกับเขาว่า
"ลูกเอ๋ย ที่พ่อแม่จัดเตรียมให้เจ้าได้ทั้งหมดนี้ ก็เกินกว่าฐานะที่เราจะทำได้อยู่แล้ว เจ้าจะเอาอย่างไรอีก"
"ถามได้จะเอาอย่างไรอีก" โจวปาเดือดดาลขึ้นมาทันที
"พ่อแม่เคยมองดูตัวเองหรือเปล่าว่าคู่ควรกับลูกอย่างฉันหรือไม่"
โจวปาเชิดหน้า ตบอกตัวเองผาง "รู้ไหมว่า สติปัญญาขนาดฉันนี่ ต้องเป็นเทพเจ้าเหวินชังตี้จวินมาเกิด" (เทพเจ้าผู้ประสาทพรแด่ผู้มีวัฒนธรรมและใฝ่การศึกษา)
โจวปาใช้สายตาเหยียดหยามกวาดผ่านใบหน้าหม่นหมองเหมือนอยากจะตายของพ่อแม่ แล้วสำรอกต่อไป
"พ่อแม่ให้อะไรฉันได้บ้าง สมควรเป็นพ่อแม่ของฉันได้หรือ"
พ่อแม่ที่เคยกล้ำกลืนต่อความโอหังของลูกคนนี้เสมอมา บัดนี้เหลืออดแล้ว แต่จะทำอย่างไรได้กับลูกที่ไม่เคยดุด่า ไม่เคยกำราบปราบพยศมาก่อน แม่จึงได้แต่ร้องไห้ ส่วนพ่อกำมือแน่น ใบหน้าแดงก่ำเป็นลมล้มพับลงตรงนั้น โจวปาไม่ได้สนใจว่าพ่อแม่จะช้ำใจเพียงไร ไม่สนใจว่าใครจะโกลาหล รีบปฐมพยาบาลพ่อให้ฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่อย่างไร เขากลับยืนอยู่ในความคิดที่ว่า "ไม่ยุติธรรมเลย ที่เราต้องมาเกิดเป็นลูกของคนยากจนไร้การศึกษาอย่างนี้"
คืนนั้นโจวปาตื่นขึ้นในความฝัน เขาพบว่า ตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางท้องพระโรงใหญ่ในบรรยากาศอึมครึมน่ากลัวแห่งหนึ่ง เบื้องหน้า เป็นบัลลังก์ที่ประทับของผู้มีอำนาจท่านหนึ่งเข้ารู้ได้ภายหลังว่า พระองค์คือพญายม ไม่ทันที่เขาจะพูดหรือคิดอะไร ก็ได้ยินเสียงกังวานดังมาจากข้างบนว่า
"โจวปา เสียแรงที่เจ้าได้เกิดกายเป็นคนในครั้งนี้แทนที่จะรีบอาศัยกายคนบำเพ็ญบุญบารมีธรรมให้สูงยิ่งขึ้นกว่าที่แล้วมา เจ้ากลับปล่อยให้ความหลงเข้าครอบงำเหมือนเพาะเมล็ดพันธุ์เดรัจฉานไว้ในกมลสันดาน บัดนี้เมล็ดพันธุ์นั้นเจริญงอกงามแล้ว เมื่อออกดอกออกผลก็จะเป็นดอกผลเดรัจฉาน เจ้าก็จะต้องพลาดจากการเกิดกายเป็นคนได้ในชาติต่อไป"
"ไม่จริง ที่ท่านพูดมาไม่มีเหตุผลเลย"
โจวปาตะโกนตอบเสียงดังตามความเคยชินที่ยะโสโอหังมิไดยำเกรงเลยว่าท่านนั้นคือพญายม
"เราเป็นคนมีปัญญาล้ำเลิศถึงเพียงนี้ จะไปเกิดเป็นเดรัจฉานที่โง่เง่าได้อย่างไรกัน อีกทั้งในชาตินี้ เราก็ไม่เคยทำผิดคิดร้ายต่อใคร"
"โจวปา แม้เจ้าจะมีปัญญาล้ำเลิศเหนือกว่าคนทั้งหลาย แต่เจ้าก็น่าสงสารเหมือนโลกีย์ชนทั่วไป หลงผิดคิดว่าตนเป็นคนดี แม้แต่ที่เจ้าเพิ่งแสดงอาการแล้วใช้คำพูดลบหลู่ดูหมิ่นพ่อแม่ของเจ้ามาหยกๆ เจ้ายังไม่รู้สำนึกเลย"
"ใครว่าเราลบหลู่พ่อแม่" โจวปาขึ้นเสียงทันทีไม่ยอมฟัง "เราเพียงแต่ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริง ให้พ่อแม่ได้รู้จักตัวเองเสียบ้างเท่านั้น"
"โจวปา เจ้าไม่รู้หรอกว่าที่เจ้าเกิดมามีปัญญาล้ำเลิศนั้นก็ด้วยบุญทานบารมีทั้งหลาย ที่เจ้าสร้างสมมาแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ได้สร้างเสริมเพิ่มเติมเจ้ากลับทำลายล้างบุญเก่าเสียอีก เราได้ตักเตือนให้สติเจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่ฟัง เมื่อหมดหนทางแก้ ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามกรรม"
พญายมองค์นี้มิได้มีพระพักตร์ และพระสุรเสียงน่ากลัวเหมือนองค์อื่นๆ พระองค์พยายามที่จะให้สติโจวปา ในที่สุด เมื่อเห็นว่ากรรมของโจวปาถึงกาละที่ต้องตกผลแล้ว พญายมจึงถอนพระทัย แล้วว่า
"น่าเสียดายนะ โจวปา ที่เจ้าจะต้องไปเกิดเป็นลาโง่ ถูกเจ้าของปิดตาทั้งสองข้าง โบยตีให้เจ้าหลับหูหลับตาพาโม่หินหมุนไปไม่รู้วันคืน..."
โจวปาตื่นจากฝัน ใจสั่น เขาเริ่มรู้สึกกลัว รุ่งเช้าเขาลุกจากที่นอนไม่ไหว ตัวร้อนจัด กัดฟันแน่น มีเสียงมอๆ ลอดออกมาจากลำคอของเขาเหมือนเสียงของลา พ่อแม่ของโจวปาร้อนใจที่สุด เชิญหมอที่เก่งที่สุดมาตรวจดูอาการ หมอได้แต่ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าโจวปาเป็นโรคอะไร สองวันต่อมา เวลาบ่าย โจวปาร้องเสียงมอๆ อย่างลาชัดเจนเป็นคำสุดท้ายแล้ววิญญาณของเขาก็ออกจากร่างไป