รักสนุกกลับทุกข์สาหัส

มีพระสงฆ์สาวกนักปฎิษัติธรรมและนักพัฒนาสังคมจำนวนมากที่ท่านบำเพ็ญตนสร้างคุณประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยหวังว่าจะได้กุศลมาชดใช้หนี้บาปกรรมของตนให้ทุเลาเบาบางลงไปบ้างไม่มากก็น้อย พระภิกษุเจ้อาวาส รูปหนึ่งก็เช่นกันท่านเป็นนักพัฒนาผู้ซึ่งช่วยยกระดับความเป็นอยู่และสร้างสรรคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ชาวบ้าน ตลอดเวลาหลายสิบปี ท่านได้ทุ่มเทกายใจทำแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่สังคม โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยไม่ว่าจะมีวิธีไหน ถ้าท่านเห็นว่าจะสามารถช่วยให้ผู้คนหยุดทำชั่ว หันมาทำความดีได้ ท่านก็จะลงมือกระทำทันทีโดยไม่รั้งรอ

2022-06-20 12:34:27 - mindcyber

บ่อยครั้งที่เจ้าอาวาสนักพัฒนาท่านนี้ จะเล่าเรื่องราวในชีวิตจริงของท่าน ให้ศรัทธาญาติโยมฟังเพื่อนำไปเป็นข้อคิด ครั้งหนึ่งท่านได้เล่าว่า “เมื่อตอนที่อาตมา เป็นเด็กนักเรียนเป็นคนเกลียดแมลงสาปที่สุดเห็นที่ไหนไม่ได้เลย เป็นต้องจับฆ่าให้ได้ไม่ว่าที่บ้านหรือที่โรงเรียนแต่วิธีสังหารแมลงสาปของอาตมานั้นแปลกพิศดารซึ่งตัวอาตมาเองเป็นผู้คิดขึ้นมาเวลานั้น ทุกครั้งที่จับแมลงสาปได้ก็จะนำมันใส่ลงในกล่องใบใหญ่ปิดฝาขังเอาไว้ พอตกเย็นมีเวลาก็จะเอาไม้เข็มกลัดสำหรับเย็บใบตอง มาเหลาปลายให้แหลมนำไปรนไฟให้ร้อนจนแดงแล้วจึงเลือกแมลงสาปมาตัวหนึ่งอาตมาจะเอาไม้เข็มหลัดที่กำลังร้อนโชน ปักคาไว้บนหลังของมัน! เจ้าแมลงสาปที่เคราะห์ร้ายก็จะวิ่งพล่านด้วยความเจ็บปวดทุรนทุรายไปจนกว่าจะหมดแรงและตายไปในที่สุดสร้างความสนุกสนานชอบอกชอบใจ ให้แก่ตัวอาตมาเป็นอันมาก


  อาตมาจะทำเช่นนี้ ไปทีละตัวๆ จนกว่าแมลงสาปที่จับมาได้จะหมด อาตมาหาความสนุกเพลิดเพลินอยู่บนชีวิตที่น่าสงสารมาตลอด จนกระทั้งได้มาบรรพชาเป็นสามเณรใช้เวลาส่วนใหญ่ร่ำเรียนหนังสือ อยู่แต่ในความควบคุมของพระอุปัฌชาย์อาจารย์ครั้นอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ก็ตั้งใจปฎิษัติภาระหน้าที่ในกิจของสงฆ์เรื่อยมา ลืมเรื่องสนุกสนานในอดีตจนหมดสิ้น จนกระทั้งไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาตมาได้ป่วยเป็นฝีขนาดใหญ่ผุดขึ้นที่กลางแผ่นหลัง ฝีนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า “ฝีหลังเต่า”เพราะเมื่อมันบวมเป่งจะปูดนูนมีขนาดใหญ่พอๆ กับกระดองเต่า และผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะด้านหนาแข็งมากถ้าใช้นิ้วมือเคาะจะมีเสียงดัง ใครที่เป็นฝีชนิดนี้จะปวดระบมมากไม่สามารถนอนหงายได้เลย ต้องทรมานไปจนกว่าฝีสุกกลัดหนองเต็มที่แล้วจึงไปให้หมอที่มีความชำนาญทำการรักษาหมอพื้นบ้านจะทำการรักษาโดยวิธีที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณ ก็คือใช้ไม้ไผ่ขนาดโตเท่านิ้วก้อยยาวประมาณ 1 ฟุต นำมาเหลาให้ปลายข้างหนึ่งแหลมมากแล้วนำไปเผาไฟให้ร้อนจนแดงจัด เพื่อป้องกันเชื้อบาดทะยักเมื่อเผาจนได้ที่แล้วหมอก็จะรีบใช้ไม้ไผ่แหลมนั้นแทงเปลือกของฝีให้ทะลุเพื่อจะเอาหนองที่อยู่ภายในออกมาให้หมด


  กลิ่นเนื้อไหม้ และน้ำหนองที่ทะลักออกมาขณะที่ถูกเข็มไม้ไผ่เผาไฟแทงลงไปเหม็นคละคลุ้งไปหมด ความทุกข์ทรมานในเวลานั้น ช่างเจ็บปวดเสียจนน้ำตาปริทีเดียว! มันทำให้อาตมาหวนระลึกไปถึงภาพในอดีตที่ตนเคยใช้ไม้เข็มกลัดร้อนๆ ปักไปบนหลังของแมลงสาป มันช่างเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลยทีเดียว โดยทั่วไป ฝีหลังเต่านี้เมื่อเจาะเอาหนองออกจนหมดแล้วพอกยารักษาก็จะไม่เป็นอีก แต่สำหรับฝีร้ายที่เกิดขึ้นกับอาตมาไม่เป็นอย่างนั้น หลังจากรักษาได้ไม่นานมันก็จะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ตรงที่เดิมอีกแล้วอาตมาก็ต้องกลับไปให้หมอใช้วิธีการอย่างเดิมรักษาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จนบัดนี้เวลาผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าฝีร้ายนี้จะหายขาดไปได้เลย


  เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับอาตมานี้ สำหรับญาติโยมที่ไหว้พระสวดมนต์เป็นประจำ ก็คงจะพบคำตอบในบทสวดมนต์เช้าเย็นที่กล่าวว่า 

  “สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน 

  มีกรรมเป็นทายาทติดตาม 

  มีกรรมเป็นแดนเกิด 

  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ 

  มีกรรมเป็นที่อาศัย 


“กรรม” ย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวให้ประณีตได้” กฎแห่งกรรมไม่เลือกเห็นแก่หน้าว่าจะเป็นพระหรือคนธรรมดามันจะส่งผลไปตามเหตุตามปัจจัย ที่บุคคลผู้นั้นได้กระทำเอาไว้ ฉะนั้นจึงพูดได้อย่างเต็มปากว่า “กฎแห่งกรรมยุติธรรมที่สุด” 


More Posts