ครั้งที่ 22 เที่ยวเมือง
2025-02-16 04:18:45 - mindcyber
“อาจารย์ศิษย์เล่าถึงสภาพของเมือง จึงวาดภาพของเมืองทั้งหมด”
องค์ชายสามนาจาแห่งฟ้าทักษิณ เสด็จลงประทับทรง กลอนว่า
ลมเมฆเหมาะเจาะเหนือกว่าสติปัญญา
คนต่ำช้าได้ดีเบียดเสียดกัน
ดำเนิดชีวิตสายกลางแจ้งมหาธรรม
บำเพ็ญจิตหลุดพลันพ้นปุถุชน
อาจารย์ : ชีวิตที่ประสบเคราะห์กรรม ถึงแม้จะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่เวลาและช่องทางที่ให้โอกาสสร้างวีรบุรุษก็มิใช่ว่าจะไม่มี ในทางกลับกันพวกต่ำช้าได้ดี มีอำนาจวาสนา การประสบโดยบังเอิญต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ควรจะชอบและอยากได้หรือโกรธแค้นพวกเขา การดำเนินชีวิตให้ระมัดระวังอยู่ในทางสายกลาง ทำสุดความสามารถของตนเอง ความสำเร็จขึ้นอยู่กับเบื้องบน หากปักใจจะเอาจะกลับเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม ศิษย์ข้าเตรียมตัวออกเดินทาง ประทาน แพรฟ้าปกป้องตัว
หยงปี่ : ครับผม
อาจารย์ : หยงปี่เอ๋ย! หนังสือเล่มนี้แต่งมาแล้วยี่สิบกว่าครั้ง ดูเหมือนเจ้ามีความพึงพอใจ แต่ตีกลองเหมือนไม่มีแรง
หยงปี่ : ไม่ใช่หรอกครับ ท่ามกลางการดำเนินการแต่งหนังสือเที่ยวเมืองตายโหงนี้ ศิษย์พูดได้ว่าได้ทำอย่างเต็มที่แล้วแต่ว่าหนังสือเล่มนี้ได้ทำความลำบากมาให้ไม่น้อย อย่างเช่นว่าเมืองตายโหงแห่งเดียวก็มีอำนาจการควบคุมหลายแห่ง ศิษย์เลยมีข้อสงสัยอยากจะถามว่า เมืองตายโหงกับเมืองนรกล้วนก็เป็นยมโลก ทำไมแต่ละแห่งก็ควบคุมกันเอง ตั้งแต่สมัยโบราณมาก็มีบันทึกในหนังสือ แต่ไม่เคยได้ยินว่าเมืองตายโหงได้อยู่เป็นเอกเทศ
อาจารย์ : ข้าว่าเจ้าสมองทื่อก็ยังไม่ยอมจำนน เพราะคนทั้งหลายคิดว่าพอตายแล้วก็ต้องไปยมโลก แต่คนที่มีบุญกุศลมากก็ขึ้นสวรรค์ไป เจ้าไม่รู้ว่าที่ขึ้นสวรรค์ก็ยังแบ่งเป็นหลายประเภท เพราะฉะนั้นยมโลกก็แบ่งเป็นหลายแห่ง ไม่เห็นต้องสงสัยเลยแต่เพราะโบราณมา คนก็พูดต่าง ๆ กันมาว่า เมืองนรกจะควบคุมพวกวิญญาณผีโดยเฉพาะ แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดทั้งหมด
หยงปี่ : พูดก็ถูก ถ้าอย่างนั้นคืนนี้อาจารย์จะพาศิษย์ไปไหน
อาจารย์ : ไปวนรอบเมืองตายโหงสักรอบ เจ้าก็เล่าให้ละเอียดสักหน่อย ไม่แน่ว่าคนที่วาดเก่ง ๆ จะได้วาดเป็นภาพสักภาพหนึ่งเหมือนในราชวงศ์หมิงและชิงได้วาดรูปแม่น้ำต่าง ๆ ไว้ เก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสีย เจ้าก็จะมีบุญกุศลเหลือคณานับแล้ว
หยงปี่ : อาจารย์พูดได้ดี หากมีนักวาดเขียน ก็จะสามารถทำงานอันนี้ได้ แต่ว่านักวาดคนนี้ก็ได้ตายไปแล้ว อีกคนก็ยังไม่เกิด แต่ศิษย์กำลังคิดอยู่ว่าวันหลังจะหาคนวาดรูปมาเขียนเมืองตายโหง แล้วก็พิมพ์ลงในหนังสือก็จะอยู่ได้นานไม่เน่าเสียเช่นกัน
อาจารย์ : คิดได้ดี ถ้างั้นเจ้าเอาใจใส่หน่อยก็แล้วกัน
หยงปี่ : ขอเชิญอาจารย์นำทาง (พอพูดจบ ยังไม่ทันก้าวออกจากสำนัก ก็เหมือนกับได้เข้าสู่หนทางแห่งกาลเวลา หมุนเปลี่ยนแค่พริบตาเดียว ทั้งความคิดและความรู้ของใจ ก็แปรเปลี่ยนจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง) อาจารย์ครับ! ท่านทำมายากลหรือ หรือว่าศิษย์ได้เดินเข้าสู่หนทางแห่งกาลเวลา ทำไมเมื่อครู่ยังคุยอยู่ในสถานธรรม ฉับพลันก็ทะลุผ่านห้วงกาลเวลามาถึงยังยมโลก
อาจารย์ : อย่างนี้จึงจะสะดวกต่อการเขียนภาพ
หยงปี่ : ถ้าอย่างนั้น ข้ามจากถนนนี้ไป ก็ต้องเป็นแนวไฟนรก ของยมโลก จากนั้นก็ถึงทางสามแพร่ง ไปทางซ้ายคือเมืองตายโหง ไปทางขวาก็เมืองนรก ใช่หรือไม่
อาจารย์ : ไม่ผิด เจ้าไม่อธิบายให้ละเอียดหน่อย เขียนวงหลมแทนกาลเวลา เขียนกองไฟแทนแนวไฟนรก จากนั้นเส้นทางที่มืด ๆ ก็แยกเป็น 2 ใช่หรือไม่
หยงปี่ : จะสังเขปไปหน่อยแล้วอาจารย์ ศิษย์เรียนมาก็ไม่มากจะไปบรรยายอย่างไร หากแต่ศิษย์ประทับจดจำไว้ได้ รอให้มีคนจะวาดเมืองตายโหงเสียก่อน ศิษย์ก็จะค่อย ๆ อธิบายรายละเอียดให้ฟัง ก็จะได้ไม่ห่างไกลกันนัก
อาจารย์ : เอาเถอะ! ต่อลงไปก็คือด่านหลายด่าน แล้วตรงเข้าสู่เมืองตายโหง ตอนนี้จะให้เจ้าเป็นผู้บรรยาย อาจารย์จะรับหน้าที่นำทาง
หยงปี่ : ขอไหว้วานอาจารย์หน่อยแล้วกัน (เข้าสู่เมืองตายโหงก็จะเป็นประตูเมืองที่ไใหญ่โต) อ้อ! ใช่แล้ว ปากทางเข้ามีป้อมยามเดินไปทางขวามือก็เป็นศาลสอบสวนเป็นอาคารหลังใหญ่ อ้อมไปด้านหลังก็จะมีบ้านหลังเล็ก ๆ เตี้ย ๆ นั้นเป็นที่กักขังชั่วคราว แน่นอนต้องมีพวกผีตายโหงที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไม่น้อย และก็มีผีที่ดุร้ายเป็นเจ้าหน้าที่เดินเข้า ๆ ออก ๆ และที่ดูเรียบร้อยสุภาพก็เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ เมื่อผ่านศาลสอบสวนมาแล้วก็มีถนนสายหนึ่งซึ่งมีกรวดหินสีดำที่แหลม ๆ คม ๆ อาจารย์ครับ! ถนนนี้ไว้ทำอะไรกัน ทำไมเหมือนถนนมีดแหลมของเมืองนรก จะเรียกว่าถนนมีดก็ได้
อาจารย์ : นี่คือ ที่ลงโทษของศาลสอบสวน
หยงปี่ : ที่พูดว่าเมืองตายโหงไม่สร้างที่ลงโทษรุนแรง ทำไมจึงมีสถานที่ลงโทษเช่นนี้
อาจารย์ : ศาลสอบสวนจะควบคุมการสอบสวน พวกที่มาถึงใหม่ ๆ แล้วยังไม่ได้รับการสอบสวนก็ยังเป็นวิญญาณ ยังไม่ขึ้นอยู่กับเมืองตายโหง ก็ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากเมืองตายโหง ก็ต้องดำเนินตามการสอบสวนของเมืองนรก
หยงปี่ : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง โอ๊ย ! อาจารย์ครับ จะเล่าถึงเมืองตายโหงทั้งหมดไม่ใช่ง่าย ๆ
อาจารย์ : เมืองตายโหงจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก หากคิดจะเล่าการท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นรูปวาดใบเดียว ก็ไม่ใช่ง่าย
หยงปี่ : ใช่แล้วครับ หากจะแค่พอสังเขป เราอาจารย์ศิษย์ค่อย ๆ ช้า ๆ จะดีกว่า ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม คืนนี้ถึงแค่นี้ก็พอกระมังครับ
อาจารย์ : คิดจะขี้เกียจล่ะซิ ก็เลยสร้างเหตุผลเสียใหญ่โตเช่นนี้ เอาเถอะพูดเข้าท่าดีอาจารย์อนุญาต แต่เจ้าต้องจำไว้ คราวหน้าจะต่อจากที่นี่