บันทึกเที่ยวเมืองตายโหง ครั้งที่ 1

แดนระหว่างเมืองมนุษย์กับยมโลก (อินหยางเจวี้ย)

2025-02-16 04:06:25 - mindcyber

         “พอไปแล้วเหลียวหลังดูประตูก็ปิด          ก้าวสู่แดนผู้ตายทุกข์ไม่หยุด”               

             องค์ชายสามนาจาแห่งฟ้าทักษิณ เสด็จลงประทับทรง กลอนว่า            

             ลมกรรโชกฝนกระหน่ำภาพพร่ามัว             

ไปทองทั่วเมืองตายโหงสัมผัสผี             

ประทับออกสู่ทะเลเขียนคัมภีร์             

ภาพทุกที่ดูแจ่มแจ้งสิ้นมืดมน             

อาจารย์ : บันทึกท่องเมืองตายโหงเริ่มต้นเขียนในวันนี้ ได้รับมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้าเหวินฮวง องค์ประธานแห่งฟ้าทักษิณ และพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่ได้ประทานบทนำสำหรับหนังสือ ข้าพเจ้าก็ได้รับเกียรตินี้ด้วย เนื่องจากการจัดทำหนังสือเล่มนี้ ท่านองค์ประธานได้ฝากความหวังไว้เป็นอย่างมากเพราะฉะนั้นในการแต่งหนังสือครั้งนี้ จะไม่ใช้แนวทางเหมือนเมื่อก่อน กล่าวคือ จะไม่พูดจาหยอกล้อเล่น แต่จะดำเนินไปตามหัวข้อ นำเอาแก่นสาระตามสภาพที่ได้พบเห็นมาบรรยายให้หมดสิ้นโดยไม่ปิดบัง เพื่อผู้อ่านจะได้รู้กระจ่างชัด จะได้เกรงกลัวแล้วหันไปสู่ความดี               

             ในวันแรกนี้จะท่องเที่ยวไปถึงทางสามแพร่ง ระหว่างมนุษยโลก ยมโลก และเมืองตายโหง ทางสามแพร่งนี้ก็เรียกอีกชื่อว่า อินหยางเจวี้ย ข้าฯ จะเอ่ยอ้างถึงบทกลอนบทหนึ่งที่อยากให้เจ้าพิเคราะห์ให้ละเอียด อย่ากลืนลงไปอย่างลวก ๆ โดยไม่ย่อย (คิดครึกตรอง)               

หยงปี่ : อาจารย์! ข้างนอกฝนตกใหญ่แล้ว ต้องหาที่หลบก่อน             

อาจารย์ : แน่นอน การเริ่มต้นที่ดีเท่ากับงานได้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง วันนี้เป็นวันเริ่มต้นแต่งหนังสือ เราอาจารย์กับศิษย์ต้องไม่กลัวฝน จึงจะสามารถฝึกฝนจนได้ผลแท้ที่สดใสรุ่งโรจน์อย่าได้ขี้เกียจ อาจารย์จะประทานผ้าแพรฟ้าให้ไว้ป้องกันตัวระหว่งทางให้ปิดตาเสีย ด้านหน้าเป็นแดนมนุษย์ ไม่มีอะไรน่าดูนัก ไปทางเมืองนรกกันเถอะ......เอาล่ะศิษย์ข้าฯ ตอนนี้เจ้าจงเปิดตาได้แล้วจะได้มองดูแดนอินหยางเจวี้ย             

หยงปี่ : (ลืมตาขึ้นตามคำสั่งอาจารย์) เห็นกลอนบทหนึ่งเขียนว่า “พอไปแล้วเหลียวหลังดูประตูก็ปิด เข้าสู่แดนผู้ตายทุกข์ไม่หยุด” อาจารย์ครับ! เมื่อครู่ท่านพูดถึงกลอนบทนี้ใช่ไหมครับ อ้อ! มีเหตุผล ๆ พอก้าวพ้นอินหยางเจวี้ยเพียงก้าวเดียวหันหลังกลับไปก็ไม่มีประตูเสียแล้ว พอย่างก้าวเข้ายมโลกก็พบกับความทุกข์เหล่านั้น ซึ่งคนส่วนใหญ่ทราบกันดี ไม่ต้องให้ศิษย์ต้องบรรยายเลย             

อาจารย์ : คำกลอนข้างหน้าเจ้าเห็นแล้ว ตอนนี้ให้หันหลังกลับไปดูแดนอินหยางเจวี้ยว่ามีสภาพเช่นไร             

หยงปี่ : (พอหันหลังกลับมาดู ต้องรีบวิ่งออกมาอีกหลายก้าว พระเจ้าช่วย! ไฟจะไหม้ก้นแล้ว             

อาจารย์ : ไม่ต้องกลัว มีของวิเศษป้องกันตัวไม่เป็นอันตรายอะไรเลย ให้ใช้พลังสายตามองดูข้างในไฟ             

หยงปี่ : (สภาพข้างหน้าเหมือนห่อของ) อื้อ! แปลกจริง! เป็นสภาพกำลังประทับทรงของสถานธรรมหมิงเจิ้นถึง แดนอินหยางเจวี้ยก็อยู่ข้างนอกของสถานธรรมนั่นเอง             

อาจารย์ : ผิดไปแล้ว หยางเจวี้ย (แดนมนุษย์) เป็นภาพมายาทุกหนแห่งของแดนมนุษย์ก็สามารถเป็นทางเข้าสู่ยมโลกได้อินเจวี้ย (แดนนรก) เป็นภาพจริง เขตแดนนี้ก็คือ แนวเส้นไฟนรกต่อกับแดนมนุษย์ พูดง่าย ๆ คือ วิญญาณคนตายสามารถทะลุผ่านจากแดนมนุษย์เข้าสู่แดนนรก ดังนั้น แนวเส้นไฟนรกต่อกับแดนมนุษย์จึงเป็นประตูที่ตัน             

หยงปี่ : อ้อ! ศิษย์เข้าใจแล้ว ป้ายหินข้างหน้าเป็นป้ายบอกทางสองแพร่ง ทางด้านขวามือเป็นทางกว้างใหญ่ ส่วนทางด้านซ้ายมือเป็นทางแคบเล็ก ตอนนี้มียมทูตกำลังบังคับให้วิญญาณผีเดินแยกไปตามทางทั้งสอง ขอเชิญอาจารย์ช่วยอธิบายสภาพเช่นนี้หน่อยเถอะ             

อาจารย์ : ทางขวามือเป็นทางไปเมืองนรก ส่วนทางซ้ายมือไปเมืองตายโหง             

หยงปี่ : ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ทำไมจึงไม่ติดตั้งป้ายบอกทิศทาง เหมือนอย่างในโลกมนุษย์             

อาจารย์ : ตั้งป้ายบอกทิศทางที่นี่ไม่ได้ เพราะที่แดนอินหยางเจวี้ยนี้ไม่มีสถานที่กักกัน พูดอีกทีก็คือถ้าพวกวิญญาณสามารถมาถึงที่ป้ายหินนี้ได้ ก็สามารถที่จะมุดออกมายังแดนมนุษย์ได้เพราะฉะนั้นป้ายบอกทางจึงต้องติดตั้งอยู่ที่ถนนช่วงกลาง             

หยงปี่ : ที่แดนอินหยางเจวี้ยนี้ควรจะมียามเฝ้าวิญญาณจึงจะถูก             

อาจารย์ : แน่นอน แต่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการแต่งหนังสือนี้ ดังนั้นอาจารย์เลยไม่ได้ให้เจ้าดู เอาละวันนี้เที่ยวมาถึงอินหยางเจวี้ยก็พอแล้ว วันหลังค่อยเข้าไปทางซ้ายมือสู่เมืองตายโหง เจ้าหลับตาลงเสีย อาจารย์จะนำเจ้ากลับสถานธรรม             

หยงปี่ : ครับอาจารย์....ขอกราบส่งอาจารย์กลับสู่ฟ้า   

More Posts